What happened in the last two minutes of the Killing Eve finale?

| | ,

ไม่อยากจะคิดว่านี่เราเดินทางกันมาถึงปี 2022 กันแล้วจริงๆ เพราะซีรีส์เควียร์ทริลเลอร์ที่คว้ารางวัลมาหลายเวทีอย่าง Killing Eve จะทำแบบนี้กับคนดู

ในฐานะของแซฟฟิคคนหนึ่งที่เป็นแฟนคิลลิ่งอีฟ ก็ต้องบอกว่านี่คือตอนจบที่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะวิลลาแนลล์ตาย แต่เป็นเพราะความไม่สมเหตุสมผลของเนื้อเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว บทสัมภาษณ์ต่างๆ ของโชว์รันเนอร์ที่ออกมาหลังจากซีรีส์จบ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นี่หรือคือตอนจบของซีรีส์เควียร์ที่สร้างความประทับใจมาตลอดสามซีซั่น และมาตกม้าตายเอาในช่วงระยะเวลาแค่เพียง 2 นาทีสุดท้ายของซีรีส์

หลายคนอาจจะคิดว่า มันเป็นแค่โชว์โชว์หนึ่ง เป็นแค่ซีรีส์เรื่องหนึ่งที่จบแล้วก็จบกัน แต่สำหรับบางคน นั่นคือโลกทั้งใบ นั่นคือแหล่งรวมความรู้สึก ความกล้า และเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใจ โดยเฉพาะชาวเควียร์ที่ได้ชมซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะในตอนนี้ หรือในอนาคตก็ตาม มันไม่ใช่แค่การทรยศคนดูและแฟนๆ เท่านั้น ที่พวกเขาได้เห็นบางส่วนของวิลลาแนลล์อยู่ในตัวเอง  แต่เป็นการทรยศตัวละครที่หลายๆ คนพยายามปลุกปั้นมา และพวกเขาควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ พวกเราควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้

Killing Eve | Series 4 Trailer

เคยได้ยินโทรปที่ว่า “BURY YOUR GAYS” ไหม?

โทรป Bury Your Gays เป็นโทรปที่ใช้เรียกการนำเสนอความตายของตัวละคร LGBTQ+ ที่มีแนวโน้มตายมากกว่าตัวละครสเตรทในงานรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานซีรีส์ หนัง หรือแม้กระทั่งงานเขียน โดยเฉพาะในซีรีส์ที่ตัวละครที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยน มักจะมีความเสี่ยงสูงในการฆ่าตัวตาย ถูกทำร้าย หรือเสียชีวิต มากกว่าตัวละครอื่นๆ ที่เป็นสเตรท อย่างที่เห็นได้ชัดและถือเป็นผลงานที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2016 นั่นก็คือการตายของ Lexa ในเรื่อง The 100 หลังที่จากเธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับ Clarke คนรักของเธอเพียงหนึ่งคืน เธอก็ถูกฆ่าตายทันที นับจากตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ในปี 2022 ผ่านมาแล้ว 6 ปี เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ โดยเฉพาะในซีรีส์อย่าง Killing Eve ที่เปิดเรื่องเอพิโสดไพล็อตมาอย่างดี เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครมาอย่างดี จนกระทั่งในตอนสุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้ ที่หลังจากพวกเขาเอ่ยปากพูดความรู้สึกต่อกันและกัน ได้ใช้ชีวิตร่วมกันหนึ่งคืน สุดท้ายแล้ววิลลาแนลล์ก็ต้องตายจากกันไป

หลายคนอาจจะคิดว่าก็แค่ตัวละครตายนี่นา ถ้าลองมองให้ลึกสักนิด และมองภาพกว้างๆ อีกสักหน่อย ตัวละครเควียร์คือตัวละครที่ถูกทำให้ตายอยู่เป็นประจำ และในนาทีสุดท้ายของซีรีส์ Killing Eve หลังจากที่วิลลาแนลล์ได้ฆ่าสมาชิก The Twelve ภายในเรือหรูที่ใช้จัดงานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เธอและอีฟออกมาที่ดาดฟ้าเรือ กอดกัน และวิลลาแนลล์ก็โดนยิงเข้าที่หลัง ทั้งคู่กระโดดลงน้ำ หลังจากนั้น เธอก็โดนยิงรัวๆ จนเสียชีวิต ก่อนจะจมลงใต้แม่น้ำเทมส์ ส่วนอีฟตะเกียกตะกายขึ้นมาบนผิวน้ำ พร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนที่สูญเสียผู้เป็นที่รัก จะคว้ามือมาจับ ก็เหมือนถูกกระชากออกไป มันคือความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ เพราะตอนนี้อีฟไม่เหลือใคร มีแค่วิลลาแนลล์เท่านั้น และเมื่อโชว์ตัดสินใจที่จะให้วิลลาแนลล์จากไป มาถึงตอนนี้ อีฟก็ไม่เหลือใครเลยสักคน

เมื่อเทียบกับตัวละครสเตรทในซีรีส์เรื่องนี้อย่าง Niko สามีเก่าของอีฟที่ถูกส้อมเสียบฟางเสียบเข้าที่คอในซีซั่นสาม หลายคนยังคิดเลยว่าน่าจะตายตั้งแต่คราวนั้น แต่เขาก็ยังรอด ฮิวโก้ที่ถูกยิงในซีซั่นสอง เขาก็ยังกลับมาให้เห็นในซีซั่นสี่อีกครั้ง ส่วนตัวละครอย่างวิลลาแนลล์ที่เป็นแซฟฟิค กลับถูกฆ่าตายในสองนาทีสุดท้าย เห็นได้ชัดเลยว่าการตายของวิลลาแนลล์ทำให้แฟนๆ โกรธ (แหงล่ะ) อีกทั้งยังทำให้หวนคิดถึงการฆ่าตัวละคร LGBTQ+ อย่างไร้เหตุผลอีกด้วย โดยเฉพาะตัวละครหญิง ซึ่งโทรป Bury your gays เป็นโทรปที่อยู่คู่กับหนังและซีรีส์มาอย่างยาวนาน และยิ่งแย่ไปกว่านั้นเมื่อหนังสือ Killing Eve ของ Luke Jennings นั้น ในตอนจบ อีฟหนีตามวิลลาแนลล์ไป เธอเลิกเป็นนักฆ่า และใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข

แล้วทำไมมันถึงสำคัญ? สาเหตุที่ควรจะต้องให้ตัวละครเควียร์อยู่รอดและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นเพราะว่า จากที่ผ่านมานั้น ผลงานต่างๆ ล้วนแล้วแต่ทำให้ตัวละคร LGBTQ+ ตาย ไม่ว่าจะเป็นการตายในรูปแบบไหนก็ตาม แม้ว่าในทุกวันนี้ ตัวละครเควียร์จะเป็นตัวหลักมากขึ้น ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนรัก แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับตัวละครสเตรทแล้วนั้น ยังถือได้ว่าเป็นจำนวนน้อยมากๆ อีกทั้งการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังทำให้แฟนๆ ที่เป็น LGBTQ+ รู้สึกได้ว่า พวกเขาก็มีตัวตน พวกเขาไม่ได้แปลกประหลาด และพวกเขาก็มีค่าสำหรับโลกใบนี้

สำหรับตัวของ Jodie Comer ผู้รับบท Villanelle ก็ได้บอกด้วยว่าชุมชน LGBTQ+ คือสิ่งสำคัญสำหรับเธอเป็นอย่างมาก เธอได้บอกผ่าน Girl Up x Noble Panacea ว่า “ชุมชน LGBTQ คือสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับฉัน และยิ่งมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ได้รับบทวิลลาแนลล์ ยิ่งได้เห็นว่ามันสำคัญเพียงใดที่จะมีการนำเสนอตัวตนจริงๆ ออกมาบนหน้าจอ” เธอยังพูดถึงตัวละครวิลลาแนลล์ผ่าน Vulture ด้วยว่า “ความจริงที่ว่าเธอเป็นตัวของเธอเองอย่างไม่รู้สึกอับอายหรือปิดบังตัวเอง และเป็นอิสระในเรื่องเพศวิถีของเธอ เรื่องเพศวิถีของวิลลาแนลล์เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยสงสัยและเป็นสิ่งที่ฉันเฉลิมฉลองมาเสมอ … มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเธอ นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับวิลลาแนลล์ มันไม่ใช่สิ่งที่นักเขียนพูดถึงหรือให้ความสำคัญมากๆ เพียงแค่คุณยอมรับผู้หญิงคนนี้ในสิ่งที่เธอเป็น ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงามจริงๆ”

มันน่าเสียดายที่โชว์ตั้งใจจะจบชีวิตของวิลลาแนลล์ลงราวกับชีวิตของเธอเป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อให้อีฟได้ใช้ชีวิตใหม่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เมื่อได้อ่านและฟังบทสัมภาษณ์แล้ว เราจะเห็นถึงความพยายามของเหล่านักแสดงที่จะพาโชว์ให้เป็นไปตามเส้นทางที่เหมาะสม แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรมากได้ก็ตาม

KILLING EVE IS A LOVE STORY

แฟนๆ ที่ตามซีรีส์ Killing Eve มาตั้งแต่แรกน่าจะรู้กันดีว่า Phoebe Waller-Bridge ย้ำเสมอว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Villanelle และ Eve Polastri มันคือเรื่องราวของความรัก ที่แม้ว่าจะเปิดมาเป็นการไล่ล่ากันและกัน ตามจับกันและกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็คือเรื่องของความรักระหว่างเจ้าหน้าที่สาวและนักฆ่าสาว 

Sandra Oh as Eve Polastri, Jodie Comer as Villanelle - Killing Eve Season 1-4 / BBC America
Sandra Oh as Eve Polastri, Jodie Comer as Villanelle
Killing Eve Season 1-4 / BBC America

Phoebe Waller-Bridge ก็บอกกับ The New York Times ด้วยว่า “ผู้หญิงสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน พวกเขาต่างมอบชีวิตให้กันและกันในแบบที่ซับซ้อนยิ่งกว่าความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก มันเป็นเรื่อง Sexual ทั้ง intellectual แล้วก็ aspirational …” 

ตัวของ Harry Bradbeer ผู้กำกับ Killing Eve ในซีซั่นแรก ก็ได้บอกกับ BAFTA Guru ว่า Killing Eve คือเรื่องราวความรักที่ไม่ได้มีการเอ่ยปากบอก แต่มันเป็นจริงและเติบโตขึ้น คนสองคนที่สื่อสารกันในระยะไกล ซึ่งในที่สุดแล้วก็หากันจนเจอ และถูกกำหนดมาให้อยู่คู่กัน 

สำหรับ Emerald Fennell โชว์รันเนอร์ของซีซั่นสองบอกกับ The New York Times ว่า “ความหลงใหลทั้งหมดเป็นเรื่องทางเพศในระดับหนึ่งเลยล่ะ … ความหลงใหลมีองค์ประกอบทางเพศร่วมด้วยอย่างแน่นอน แต่นี่เป็นเรื่องราวของอีฟ ที่เป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา แต่ก็เป็นธรรมดาด้วย” นอกจากนี้แล้ว เธอก็ได้บอกกับ The Hollywood Reporter ว่าความสัมพันธ์ของอีฟและวิลลาแนลล์เป็นหัวข้อของบทสนทนามาอย่างยาวนาน และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความรักเป็นส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย “วิลลาแนลล์รักอีฟอย่างเปิดเผยมากๆ เธอหมกมุ่นมากๆ ด้วย” แน่นอนว่าความรักมันเป็นศูนย์กลางของซีรีส์เรื่องนี้ และในซีซั่นสองก็ทำให้มันชัดเจนและเป็นทางการมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้แล้ว Suzanne Heathcote โชว์รันเนอร์ของ Killing Eve ซีซั่นสาม ก็ได้บอกกับ The Hollywood Reporter เกี่ยวกับฉากสุดท้ายของซีซั่นสามว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขา (อีฟและวิลลาแนลล์) ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

และด้วยเรื่องราวที่เขาเล่าออกมาตลอดนั้น มันเป็นการไล่ล่าของทั้งคู่ การทำงานร่วมกัน และพยายามทำความเข้าใจความรู้สึก และการยอมรับความรู้สึกระหว่างกัน จนกระทั่งนาทีสุดท้ายของซีรีส์ที่เขาตัดสินใจที่จะให้วิลลาแนลล์ตาย และอีฟรอดแค่เพียงคนเดียว แม้ว่าแฟนๆ จะภาวนาว่าถ้าเกิดจะตายก็ให้ตายไปด้วยกันทั้งคู่ เพราะถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งตาย เท่ากับว่าคนที่ยังเหลือรอดก็จะสูญสิ้นทุกอย่างไปทันที เพราะพวกเขาเหลือแค่เพียงกันและกันเท่านั้น

การเติบโตของอีฟและวิลลาแนลล์ในมุมมองของนักแสดง

ในช่วงโปรโมตให้สัมภาษณ์สำหรับ Killing Eve season 4 ทั้งตัวของโจดี้ โคเมอร์ และซานดร้า โอ ก็ได้พูดถึงเรื่องราวการเติบโตของอีฟและวิลลาแนลล์อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่โจดี้บอกว่าวิลลาแนลล์เติบโตขึ้นผ่านอีฟ เธอโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับซีซั่นแรก ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือด้านจิตใจก็ตาม อย่างที่เราเห็นได้ชัดเลยก็คือการรู้สึกของเธอ วิลลาแนลล์พยายามที่จะบอกกับเรามาโดยตลอดว่าเธอรู้สึกถึงสิ่งต่างๆ เมื่ออยู่กับอีฟ และเธอก็ทำให้เห็นมาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งที่เธอได้พูดออกไป จวบจนตอนสุดท้ายของซีรีส์ชุดนี้

โจดี้ก็ยังบอกอีกด้วยว่าในซีซั่นสี่ วิลลาแนลล์ จะสามารถมองไปที่อีฟและรู้ได้ว่าอีฟมีผลอย่างไรกับชีวิตของเธอ และรับรู้ถึงผลกระทบที่เข้ามา รวมไปถึงรู้สึกถึงบ้างอย่างเกี่ยวกับมัน ซานดร้าก็บอกด้วยว่า เธอรู้สึกได้เลยว่าวิลลาแนลล์เปลี่ยนแกนหลักของอีฟไป และคนที่พวกเราจะได้เห็นในซีซั่นสี่นั้นแตกต่างจากที่ได้เห็นในซีซั่นแรกอย่างแน่นอน “การที่ได้อยู่ในความสัมพันธ์กับวิลลาแนลล์มันเปลี่ยนแกนหลักของอีฟจริงๆ”

นอกจากนี้แล้ว นักแสดงทั้งสองคนเองก็ได้บอกด้วยว่า ฉากบางฉากไม่ได้มีอยู่ในบท เป็นการอิมโพรไวซ์ขึ้นมาเองจากเคมีระหว่างทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่วิลลาแนลล์กับคอนสแตนตินบอกลากัน ฉากที่อีฟเฝ้ามองการตายของเฮเลนที่วิลลาแนลล์เป็นคนฆ่าอย่างหลงใหล ฉากที่วิลลาแนลล์อยู่ในแคมป์ในสองเอพิโสดแรก ฉากที่กิน curly fries ด้วยกันกับอีฟ แม้กระทั่งฉากจูบระหว่างพวกเขา ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการอิมโพรไวซ์ขึ้นมาระหว่างนักแสดง เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันเหมาะสมกับตัวละคร เหมาะสมเอามากๆ ที่ความสัมพันธ์มันพัฒนาไปถึงจุดนั้น ไม่ใช่แค่ว่าเป็นการยัดเยียดเข้ามาให้คนดูได้รับชม หรือที่เรียกว่าเสิร์ฟความสัมพันธ์ของตัวละครให้กับผู้ชม แต่มันเป็นจุดที่เหมาะสม ตัวเรื่องมันพาเราไปถึงจุดนั้น ความสัมพันธ์ของตัวละครพาไปถึงจุดนั้นจริงๆ 

แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกับตอนสุดท้ายของ Killing Eve

สำหรับใครที่คิดว่าฉากจบใน 2 นาทีสุดท้ายของซีรีส์นั้นหนักหนาและทรมานมากแล้วนั้น เมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์ของโชว์รันเนอร์อย่าง Laura Neal ที่เป็นผู้เขียนตอนจบด้วยตัวเอง ก็อาจจะยิ่งรู้สึกโกรธและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น 

ในฐานะของแฟนซีรีส์ เราจะเห็นเลยว่าหลังจากที่วิลลาแนลล์โดนยิงเข้าที่หลังบนดาดฟ้าเรือ และพยายามพาอีฟกระโดดลงน้ำ เพื่อหนีวิถีกระสุน ก่อนจะพยายามดำลงไปหาอีฟด้วยความกลัว เพราะเธอต้องการที่จะปกป้องอีฟ แม้ว่านั่นจะแลกมาด้วยชีวิตของเธอก็ตาม หรือจะเป็นตอนที่อีฟพยายามว่ายเข้าไปหาวิลลาแนลล์ที่โดนยิง พยายามจะเอื้อมมือไปจับ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ ไปจนถึงช่วงเวลาที่อีฟตะเกียกตะกายขึ้นมาบนผิวน้ำและกรีดร้องอย่างทรมาน นั่นทำให้กลายเป็นตอนจบที่แตกสลาย ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว คำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีเลยก็คือ ‘แล้วอีฟจะอยู่ยังไง?’ ‘วิลลาแนลล์เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้นับจากซีซั่นแรก แล้วทำไมเธอถึงไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่รักล่ะ’ ฯลฯ

แต่ความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของโชว์รันเนอร์ที่บอกว่า การตายของวิลลาแนลล์ คือการมอบชีวิตใหม่ให้กับอีฟ ความรอดของอีฟคือการเกิดใหม่ การที่อีฟโผล่ขึ้นจากน้ำนั่นคือเสียงร้องตะโกนของความรู้สึกที่ได้ปลดเปลื้องทุกข์ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเห็นได้ว่าทีมเขียนบท โดยเฉพาะ Laura Neal ไม่ได้เข้าใจตัวละครหรือแก่นของเรื่องเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าบทสัมภาษณ์จะมีการพูดถึงว่าเธอได้ทั้ง Phoebe Waller-Bridge, Jodie Comer และ Sandra Oh มาออกความเห็นกับบทด้วย แต่ถ้าได้ฟังสัมภาษณ์ดีๆ สังเกตสีหน้าของนักแสดง เราจะรู้ได้ทันทีเลยว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะคำถามที่ว่าตอนจบมันดีไหม มันเป็นยังไง จะมีโอกาสได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันอีกไหม สีหน้าของโจดี้ก็เปลี่ยนไป แม้ว่าซานดร้า โอ จะพยายามทำให้ดูสดใสมากขึ้นก็ตาม แต่แน่นอนว่าตอนจบแบบนี้ทำให้ใจสลายได้ โดยเฉพาะกับตัวนักแสดงที่เขาอยู่กับบทนี้มายาวนาน และเข้าใจตัวละครของเขามากที่สุด ถึงขนาดที่ว่าโจดี้ให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาพยายามที่จะซื่อสัตย์กับตัวละครให้มากที่สุด และพวกเขาทำเท่าที่เขาสามารถทำได้แล้ว

แฟนๆ หลายคนทวีตด้วยเนื้อหาประมาณว่า “คนที่เข้าใจตัวละครก็จะมี ฉัน โจดี้ ซานดร้า แต่คนที่ไม่เข้าใจตัวละครก็คือโชว์รันเนอร์ยังไงล่ะ” แล้วถามว่ามันจริงหรือไม่ ลองดูที่เขาตอบคำถามสัมภาษณ์เกี่ยวกับซีซั่นสี่กันดีกว่า

เสียงกรีดร้องของ Eve Polastri หลังจากโผล่ขึ้นจากน้ำ

อย่างที่ได้บอกไปว่าลอร่า นีล บอกว่านั่นคือสัญญาณของการเกิดใหม่ของอีฟ เธอย้ำมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ที่พูดคุยกับ Decider ที่บอกว่า “นั่นคือสัญญาณของการเกิดใหม่ของอีฟ เราต้องการที่จะทำให้มันเหมือนเป็นการชำระล้างทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีตตลอดสี่ซีซั่นที่ผ่านมา และสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่มันแลกมาด้วยการที่เธอได้เรียนรู้ และทุกสิ่งที่วิลลาแนลล์มอบให้เธอไปสู่ชีวิตใหม่ เราอยากที่จะให้การกรีดร้องนั้นเหมาะสมนะ เราต้องการให้มันเป็นการกรีดร้องเพื่อกลับเข้าสู่โลกเดิมมากกว่าที่จะเป็นเสียงกรีดร้องแห่งความสูญเสีย ความโกรธ หรือความกลัว หรือสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในเสียงกรีดร้องนั้น ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่เจอ และฉันหวังว่าสิ่งที่ผู้คนจะได้จากสิ่งนั้นมันเป็นเหมือนกับเสียงกรีดร้องแห่งการเอาชีวิตรอดมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น

รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ที่ Laura Neal ตอบคำถามกับ Elle ที่บอกว่า “เหตุผลที่เราลงเอยด้วยการฆ่าวิลลแนลล์เป็นเพราะว่าเราต้องการให้อีฟมีชีวิตใหม่ สำหรับอีฟ ช่วงเวลาที่เธอพุ่งขึ้นมาจากน้ำเป็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นมาเสมอตั้งแต่แรก เราสนใจที่วิลลาแนลล์ตายเพื่อช่วยอีฟ และฉันคิดว่ามันยังมีส่วนที่เหลืออยู่ในเวอร์ชั่นสุดท้าย นั่นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากสำหรับเรา และมันทำให้เห็นเลยว่าวิลลาแนลล์เดินทางมาไกลแค่ไหนที่ว่าเธอสามารถทำสิ่งสุดท้ายนี้ได้เพื่อใครสักคน มันเป็นการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะงั้น มันก็เลยไม่ใช่จุดจบสำหรับเธอมากนัก แต่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น ในความคิดของฉันก็คือนั่นไม่ใช่การตายของวิลลาแนลล์นะ มันคือการยกระดับของเธอไปยังดินแดนอื่น เราพูดกันเยอะมากว่าเธอใหญ่เกินใบสำหรับโลกนี้ เหมือนโลกนี้ไม่สามารถกักขังวิลลาแนลล์ไว้ได้ เราต้องการที่จะใส่จิตวิญญาณนั้นเข้าไปในช่วงเวลานั้นเช่นกัน” เธอยังบอกต่อด้วยว่า “ฉันหวังว่าเมื่อ ‘The End’ ปรากฏขึ้น ผู้ชมจะคิดว่าอีฟกำลังจะเดินหน้าต่อไปและใช้ชีวิตสุดเจ๋งของเธอ เธอหนีไปได้ แคโรลินคิดว่าเธอตายไปแล้ว ในตอนนี้ เธอสามารถใช้ชีวิตในแบบที่เธอเลือกได้ ในความคิดของฉัน อีฟจะทำทุกอย่างที่วิลลาแนลล์มอบให้กับเธอในเวอร์ชั่นใหม่ของชีวิตนี้ และวิลลาแนลล์จะยังคงอยู่ในตัวของอีฟ”

รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ของ Laura Neal กับ TVLINE ที่บอกว่า “ฉันได้พูดคุยกับ Sandra Oh และ Stella Corradi ผู้กำกับเอพิโสดนี้ด้วย เพราะสำหรับฉัน มันสำคัญมากที่เสียงกรีดร้องนั้นจะต้องเป็นเสียงกรีดร้องแห่งการเอาตัวรอด มีชัยชนะอยู่ในเสียงนั้น มันเหมือนกับว่า ‘ฉันรอดชีวิตมาได้ ฉันมีชีวิตใหม่ ฉันจะไปต่อ ฉันจะมีชีวิตอยู่ และฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างดี’ มากกว่าเสียงกรีดร้องของการสูญเสีย หรือความโศกเศร้า หรือความโกรธ … แต่ฉันหวังว่า ความรู้สึกเมื่อผู้คนเฝ้ามองเธอกรีดร้องแบบนั้นก็คือมันเป็นการปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาก่อนหน้านี้ และเป็นการต้อนรับสเต็ปต่อไปของชีวิตของเธอ”

แต่ถ้าหากได้ดูฉากสุดท้ายดีๆ เพิ่มแสง หรือปรับแสง จะเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สีหน้าของคนที่มีความสุข ไม่ใช่สีหน้าของคนที่กำลังจะได้ใช้ชีวิตใหม่ หรือปลดปล่อยความทุกข์ของตัวเองทิ้งไป แต่นั่นคือสีหน้าของคนที่กำลังแตกสลาย สีหน้าของคนที่สูญเสียคนรัก สีหน้าของคนที่พยายามโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเธอรึเปล่าที่กำลังทำให้คนที่เธอรักตายจากไป 

Sandra Oh ก็บอกกับ Elle เกี่ยวกับฉากสุดท้ายเช่นกันว่า “ช็อตสุดท้ายของอีฟที่กำลังกรีดร้องอยู่ในน้ำเป็นฉากสุดท้ายที่ฉันได้ถ่าย เราอยู่ภายใต้แรงกดดันด้านเวลานะ … แล้วมันก็เป็นวันที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากๆ ฉันคิดว่าหนึ่งในสิ่งพิเศษเกี่ยวกับโชว์นี้ก็คือ หวังว่านะ มันน่าพอใจเพียงใดที่ไม่ได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ที่ผูกโบว์ห่อไว้อย่างดี มันไม่เคยมีความเรียบร้อยเลยระหว่างตัวละคร เพราะงั้น ตอนจบของอีฟมันทิ้งคำถามไว้กับเราว่า แล้วอีฟจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง?”

ส่วน Jodie Comer เองก็บอกว่าฉากสุดท้ายมันเซอร์เรียลมากๆ ที่ได้ถ่ายฉากของวิลลาแนลล์ “มันแปลกมาก เพราะว่าเมื่อฉันถ่ายจบแล้ว มันก็จบเลย มันมีบางอย่างที่เกี่ยวกับการถ่ายฉากสุดท้ายของเธอที่มันจะสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่มันแปลก มันโคตรจะแปลกเลย สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการที่ซานดร้าและฉันอยู่ด้วยกันตลอดทั้งสัปดาห์ เราได้ใช้เวลาร่วมกันกับทีมงานด้วย” และสำหรับการตายของวิลลาแนลล์นั้น โจดี้บอกว่า มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ “วิลลาแนลล์เหมือนแมวเก้าชีวิต สิ่งที่ฉันชอบในตอนนี้ก็คือการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวที่เธอทำและทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องนะที่เธอปกแป้องอีฟ ฉันคิดว่ามันมีบางอย่างกับการที่เป็นเกราะป้องกัน มันทำให้เห็นเลยว่าเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในตอนเริ่มต้น และฉันไม่คิดว่าเธอจะรู้ว่าเธอเคยมีมันมากแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้านะ เพราะช่วงเวลานั้นแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าอีฟเปลี่ยนชีวิตเธอแบบไหน

แต่สำหรับซานดร้าแล้ว ตอนจบนั้นอาจจะไม่ใช่ตอนจบที่ถูกต้อง แต่มันเป็นตอนจบที่เป็นไปได้ที่ดีที่สุดทั้งด้านเนื้อหาและอารมณ์ “ฉันชอบฉากบนเรือที่ตัดสลับระหว่างอีฟที่เต้นรำในห้องบอลรูมที่เต็มไปด้วยชีวิต และวิลลาแนลล์ที่อยู่ด้านล่างกำลังฆ่า The Twelve อยู่ เราเห็นแก่นแท้ของตัวละครนะ และเราจับภาพที่วิลลาแนลล์มองเห็นอีฟที่กำลังเต้นอยู่ มันสะเทือนอารมณ์สำหรับเธอ ฉันเชื่อว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งความเข้าใจสำหรับวิลลาแนลล์ เพราะในชั่วขณะ หลังจากที่เราเห็นว่าวิลลาแนลล์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เธอได้ช่วยชีวิตอีฟ เธอตายเพื่อนำซีรีส์ไปสู่จุดสิ้นสุด พูดตามตรงว่าในช่วงต้นปี 2020 เมื่อพูดถึงตอนจบมันเป็นอีกทางหนึ่ง แต่ด้วยการระบาดครั้งใหญ่ทำให้มันเปลี่ยนเส้นทาง วิลลาแนลล์เดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง และอีฟก็ถูกทิ้งให้มีชีวิตรอด

พอมองย้อนกลับมาในซีรีส์ เราจะเห็นว่าวิลลาแนลล์พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมากแค่ไหน โดยเฉพาะในซีซั่นสี่ ที่เธอจะติดต่อกับอีฟ พยายามทำให้เห็นว่าเธอเติบโตขึ้น เธอเปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว แม้ว่าวิลลาแนลล์คนเดิมจะยังคงอยู่ แต่เธอมีความรู้สึกมากขึ้น เธอเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เธอเติบโตกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่ 8 ที่วิลลาแนลล์พาอีฟหนีกันน์ขึ้นเรือขับออกไปจากเกาะกันน์ ถึงแม้ว่าในเอพิโสด 1 และ 2 ของซีซั่นสี่ วิลลาแนลล์จะยังไม่รู้วิธีที่จะทำให้มันเหมาะสมก็ตาม แต่ว่าเมื่อเธอได้อยู่กับอีฟ เราได้เห็นว่าเธอเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งเทียบกันในซีซั่นแรกกับในซีซั่นสี่ ที่เปลี่ยนจากความหลงใหลระหว่างกัน กลายเป็นความรักความเข้าใจโดยที่ไม่ต้องพูดคำใดออกมา 

อย่างตอนที่ได้คุยกับมาร์ติน สำหรับวิลลาแนลล์แล้ว ไม่ว่าเรื่องราวจะน่าเบื่อแค่ไหน จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังมากแค่ไหน แต่ถ้าเกิดเป็นอีฟ มันก็วิเศษที่สุดแล้วที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน มันคือเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์สำหรับการใช้ชีวิตคู่ เพราะอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าวิลลาแนลล์ไม่ใช่พวกที่อยากจะฟังเรื่องราวน่าเบื่อ ไม่ว่ากับใครก็ตาม จนมาถึงจุดที่เธอยอมรับตัวเอง ยอมรับความรู้สึก อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากที่จะใช้ชีวิตคู่กับอีฟ และจุดที่เธอพร้อมปกป้องอีฟด้วยชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น เธอเต็มไปด้วยความกลัว แม้ว่าเธอจะไม่เคยรับรู้ถึงความกลัวจากสิ่งอื่นๆ ก็ตาม แต่กับอีฟ เธอกลัวสุดใจที่จะสูญเสียคนที่เธอรักไป 

สำหรับอีฟก็เช่นกัน ในที่สุดเธอก็ได้พบกับคนที่เข้าใจเธออย่างแท้จริง เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ เข้าใจในแรงจูงใจ และเข้าใจในความเป็นเธอโดยที่เธอไม่ต้องปิดบังตัวเองเอาไว้ อย่างในซีซั่นแรกที่อีฟค้นคว้าเรื่องฆาตกรต่อเนื่องหญิง เธอก็นั่งกรีดขาตัวเอง และเมื่อนิโคเดินเข้ามา เธอรีบปิดทันที นั่นอาจจะหมายความว่า นิโคไม่สามารถรับรู้หรือไม่สามารถเข้าใจความเป็นอีฟได้อย่างแท้จริง และเมื่อเธอได้พบกับวิลลาแนลล์ ความหลงใหลต่างๆ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เราทั้งคู่ต่างเหมือนกัน แม้จะเหมือนกันในคนละเส้นทาง แต่พวกเขาเข้าใจกัน พวกเขาเข้าใจถึงความหลงใหล พวกเขารู้ว่าอะไรที่อยู่ในใจของแต่ละฝ่าย ทั้งคู่ต่างเหมือนเศษเสี้ยวที่หากันเจอ และประกอบกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง จนกระทั่งโชว์รันเนอร์ตัดสินใจที่จะพรากพวกเขาออกจากกันโดยที่ไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้อีก

ความสัมพันธ์ที่ได้อยู่ด้วยกันที่เฝ้ารอคอยมาตลอดสี่ซีซั่น

Killing Eve season 4 Jodie Comer Sandra Oh
Sandra Oh as Eve Polastri, Jodie Comer as Villanelle – Killing Eve Season 4, Episode 8 – Anika Molnar/BBCA

สำหรับช่วงเวลาที่ทั้งอีฟและวิลลาแนลล์ได้อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่หลังจากขึ้นเรือออกจากเกาะกันน์ ทะเลาะกันระหว่างเดินทางในทางเปลี่ยว ก่อนที่วิลลาแนลล์จะจัดการอุ้มหมุนรอบตัว ไปพักที่บ้านตากอากาศของนักเดินป่า ล้างจานด้วยกัน เปิดใจคุยกัน นอนในถุงนอนเดียวกัน ก่อนจะชวนกันขโมยรถตู้แล้วหนีออกมา ขับรถทางไกลด้วยกัน พักระหว่างทาง กินเคอรี่ฟรายส์ด้วยกัน และใช้เวลาด้วยกันอย่างเต็มที่ในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม

สำหรับการที่อีฟและวิลลาแนลล์ได้ไปโร้ดทริปด้วยกัน พวกเขารอมาสี่ซีซั่นเพื่อให้ได้มีเวลาเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องหนีหรือไล่ตามกัน ลอร่า นีล ก็บอกว่า “มันสำคัญมากที่จะได้เห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาในรูปแบบที่ฉันคิดว่าสองคนจินตนาการหรือถามตัวเองว่า ‘จะเป็นไปได้ไหมระหว่างเรา’ แล้วมันก็เลยมีช่องว่างให้ได้ทดลองดู ฉันคิดว่ามันค่อนข้างผิดปกติในโชว์เรื่องนี้ที่จะมีพื้นที่นั้น ทั้งในด้านของอารมณ์และในด้านของเนื้อเรื่องด้วย ที่จะให้พวกเขามาอยู่ด้วยกันโดยไม่มีอะไรมารบกวน และไม่มีตัวละครอื่นๆ มันแค่เพียงมีที่ว่าง อารมณ์ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน และมันเป็นเหมือนกับบททดสอบเลยว่าที่แท้จริงมันเป็นยังไง”

Laura Neal บอกกับ BuzzFeed ว่าการถ่ายทำฉากนั้นถ่ายแค่เทคเดียวเท่านั้น “มันเป็นเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากๆ ที่ได้พูดถึงฉากนั้น ทั้งการเขียนบทและการถ่ายทำ ฉากนั้นถ่ายแค่เทคเดียว และมันน่าตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เห็นการถ่ายทำฉากนั้น ฉันคิดว่ามันเหมือนกับว่า เราไม่ต้องการเทคอื่นแล้ว แค่เทคนี้เทคเดียวพอ ฉันคิดว่าวันนั้นซานดร้าและโจดี้รู้สึกพิเศษมากๆ เช่นกัน เพราะมันรู้สึกเหมือนว่าเวลาผ่านมาอย่างยาวนาน และในที่สุดพวกเขาก็ได้มาอยู่ด้วยกัน มันรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของโชว์นี้” 

แน่นอนว่าตัวลอร่า นีล เองก็ได้พูดถึงตอนจบเอาไว้หลายแบบด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือช่วงเวลาที่อีฟและวิลลาแนลล์ได้ใช้เวลาอยู่ในบ้าน กินพิซซ่า ซึมซับความเป็นครอบครัว แต่เธอก็คิดว่ามันคงเป็นไปได้ไม่นาน นั่นเป็นเพียงแค่การทดลองเท่านั้น ก่อนที่ ลอร่า นีล จะส่งวิลลาแนลล์สู่ความตาย

แม้ว่าพวกเขาจะเคยพูดเอาไว้ในฉากเต้นรำของซีซั่นสามว่าพวกเขาคงจะอยู่กันไปไม่นานแน่นอน เพราะด้วยความเป็นอีฟและวิลลาแนลล์ แต่สิ่งที่ทีมเขียนลืมไปก็คือ ช่วงเวลาที่อีฟและวิลลาแนลล์ได้เรียนรู้และยอมรับตัวตนของกันและกัน มันคือการเติบโตของชีวิตคู่ เหมือนกับที่มาร์ตินได้พูดกับวิลลาแนลล์และอีฟ ในช่วงเวลาที่พวกเขาไปขอความช่วยเหลือจากมาร์ติน 

ตอนจบของ Killing Eve ที่น่าจะเป็นไปได้ของ Laura Neal

นี่อาจจะดูเป็นปัญหาสำหรับซีรีส์ที่มีการเปลี่ยนโชว์รันเนอร์ในทุกๆ ซีซั่น เพราะข้อมูลตัวละครต่างๆ อาจจะตกหล่นไปได้ หรืออาจจะไม่ได้เข้าใจตัวละครเท่าที่ควร แม้ว่าในซีซั่นสองและซีซั่นสาม จะเดินตามทางที่ซีซั่นแรกได้ปูไว้ได้อย่างดี อาจจะมีช่วงที่ตื่นเต้นน้อยกว่าซีซั่นแรกไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาก็ยังเข้าใจตัวละครและเข้าใจโชว์มากกว่า เมื่อเทียบกับซีซั่นสี่ 

สำหรับ Sally Woodward Gentle ผู้เป็น executive producer ของ Killing Eve และอยู่กับซีรีส์เรื่องนี้มาตลอด 4 ซีซั่นตั้งแต่เริ่มต้นก็ได้บอกว่า “ตอนที่เรารู้ว่าซีซั่นสี่จะเป็นซีซั่นสุดท้าย มันเป็นอะไรที่น่ากลัวนะ แต่มันก็เหมือนกับการปลดปล่อยด้วยเช่นกัน เพราะว่าคุณสามารถเล่าเรื่องราวที่เหมาะสมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ นอกจากนี้แล้วเรายังมีนักเขียนที่เป็นเควียร์ที่ฉลาดมากๆ เข้ามาอยู่ในห้องนักเขียนด้วย มันถือเป็นเกียรติกับทุกสิ่งที่เราอยากจะทำกับตัวละครเหล่านั้น” เธอบอกต่อด้วยว่าการผจญภัยครั้งสุดท้ายของอีฟและวิลลาแนลล์นั้นเป็นเหมือนหน่วยสายลับกับนักฆ่า และในท้ายที่สุด มันคือเรื่องราวของความรัก เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการค้นพบตัวตนที่แท้จริงว่าคุณคือใคร

นอกจากนี้แล้วแซลลี่ก็ยังบอกกับ Deadline ว่า “เรารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรก … เรารู้ว่าวิลลาแนลล์อยู่ในวงการที่มีความเสี่ยงสูงมาโดยตลอด และมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราก็เลยอยากที่จะดึงเอาส่วนนี้มาใช้ในซีซั่นนี้ มันเป็นความรู้สึกที่วิลลาแนลล์ยอมรับในการเป็นมนุษย์ และการที่เธอไม่เห็นแก่ตัวและผลักอีฟไปด้านข้างของเรือ มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเชื่อมโยงกับจุดเริ่มต้นของเธอในตอนที่หนึ่ง (ซีซั่นสี่) ที่พยายามจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอก็สามารถที่จะเป็นคนที่ดีได้ นอกจากนี้แล้ว มันก็ยังเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องที่อีฟควรจะต้องเอาชีวิตรอดในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่น่ามหัศจรรย์ ที่เธอควรจะได้เกิดใหม่จากการแสดงออกนั้น และการผจญภัยที่ไม่ธรรมดาแบบที่เธอได้เคยเผชิญ”

Laura Neal ให้สัมภาษณ์กับ Collider ตั้งแต่ก่อนซีซั่น 4 จะฉาย พร้อมกับบอกว่า เธอเขียนตอนจบที่แตกต่างกันออกไปถึง 10 เวอร์ชั่น เพื่อให้แน่ใจว่าจะเป็นตอนจบที่ให้เกียรติการเดินทางของผู้หญิงเหล่านั้น และเธอก็ได้เปิดเผยกับ Collider และ TVLINE เช่นกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของตอนจบในเวอร์ชั่นต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ ‘ทั้งคู่ไม่มีใครตาย’ ‘ทั้งสองคนกำลังจะตาย’ ‘วิลลาแนลล์จะยังอยู่ และอีฟตาย’ ‘พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข’ แต่เธอบอกว่านึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมีโลกที่อีฟและวิลลาแนลล์มีความสุขด้วยกันได้นานๆ “เราคุยกันอย่างจริงจังนะ แล้วเวอร์ชั่นเดียวที่เข้ารอบก็คือเวอร์ชั่นที่วิลลาแนลล์ตายและอีฟมีชีวิตอยู่ มีสคริปต์ฉบับหนึ่งเขียนว่าวิลลาแนลล์ช่วยอีฟอย่างเปิดเผยและเสียสละตัวเองเพื่ออีฟ นั่นเป็นเวอร์ชั่นที่อยู่ในขั้นตอนการเขียนบทมาระยะหนึ่งเลย แล้วเราก็เปลี่ยนจากเวอร์ชั่นนั้นไป เพราะว่ามันไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงเลย เรามีอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างไปมันไม่ได้อยู่บนเรือ แต่ว่าก็เป็นการทำซ้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่ต่างสถานที่ ซึ่งในสถานที่นั้นจะเป็นโรงแรมบนหน้าผา และกระโดดออกจากโรงแรมมากกว่ากระโดดออกจากเรือ แต่ด้วยเหตุผลทางการผลิตหลายอย่างทำให้เราไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ เราก็เลยย้ายมาเป็นตำแหน่งนั้นบนแม่น้ำเทมส์แทน และทำให้เรามีสะพานทาวเวอร์บริดจ์เป็นฉากหลังด้วย”

อันที่จริงแล้วแฟนๆ แทบไม่ได้คาดหวังเลยว่าตัวละครทั้งสองคนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข (แม้ว่าลึกๆ แล้ว พวกเขาต่างต้องการแบบนั้นก็ตาม) แฟนๆ หวังว่าถ้าหากว่าตัวละครจะต้องตาย ก็ขอให้ตายทั้งคู่ เพื่อที่ว่าคนที่อยู่รอด จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการจากไปของผู้เป็นที่รัก อย่างที่เคยย้ำอยู่เสมอว่าในมุมมองของคนนอก ความสัมพันธ์ระหว่างอีฟและวิลลาแนลล์อาจจะเป็น Toxic Relationship แต่ถ้าเกิดลองมองในมุมของพวกเขา มันคือการที่ต่างคนต่างเข้ามาเปิดโลกให้แก่กันและกัน เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน มันไม่จำเป็นที่จะต้องเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเข้าใจกันและกันไปถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไร เขาก็ยอมรับกันและกันอยู่ดี ต่อให้หนีหัวใจตัวเองไปไกลแค่ไหนก็ตาม แต่ลึกๆ แล้ว พวกเขาต้องการกันและกัน แม้ในวันที่พวกเขาไม่เข้าใจตัวเองเลย

หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วทีมนักเขียนไม่มีใครห้ามหรือไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับตอนจบของซีรีส์บ้างเหรอ Kayleigh Llewellyn หนึ่งในทีมนักเขียนและนักเขียนที่เป็นเลสเบี้ยนคนเดียวในห้องนักเขียน Killing Eve บอกผ่านรายการ The Two Shot Podcast ว่าเธอพยายามที่จะแย้งเกี่ยวกับตอนจบของ Killing Eve ที่เกี่ยวกับจุดจบของวิลลาแนลล์ แต่พวกเขาไม่ฟังเธอเลยสักนิด และมันก็ออกมาในรูปแบบนี้ ที่แฟนๆ ไม่พอใจและอาจจะเรียกว่าเกลียดสองนาทีสุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้ก็ว่าได้

ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นักแสดงผู้เข้าใจตัวละครนั้น แสดงออกมาตรงข้ามกับสิ่งที่โชว์รันเนอร์เข้าใจและตีความตัวละครออกมา นั่นอาจจะดูเหมือนไม่เป็นปัญหา แต่สิ่งต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีปัญหาซ่อนอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเป็นการดึงโทรป Bury your gays มาฉายซ้ำ ในขณะที่ในวงการพยายามที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง การที่ทีมเขียนบทไม่ฟังเสียงของนักเขียนเลสเบี้ยนคนเดียวในห้องนักเขียนที่แย้งเรื่องจุดจบของวิลลาแนลล์ ไปจนถึงการที่พวกเขาไม่เข้าใจตัวละคร ไม่เข้าใจธีมของเรื่อง และไม่ได้แม้กระทั่งที่จะสร้างตอนจบของซีรีส์ใหญ่ให้น่าจดจำ

จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากใครจะหยิบตอนจบของ Killing Eve ไปเปรียบเทียบกับตอนจบของ Games of Throne หรือจะเทียบกับฉากของ Clexa ใน The 100 แน่นอนว่าตอนจบสองนาทีสุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้ จะถูกพูดถึงอีกนาน ไม่ต่างกับ Clexa อย่างแน่นอน

Sources:

  • https://collider.com/killing-eve-season-4-jodie-comer-sandra-oh-interview-ending/
  • https://collider.com/killing-eve-season-4-showrunner-laura-neal-interview/
  • https://collider.com/killing-eve-series-finale-explained-showrunner-interview/
  • https://deadline.com/2022/04/killing-eve-series-finale-recap-ep-villanelle-dies-spinoffs-1234992692/
  • https://decider.com/2022/04/10/killing-eve-series-finale-laura-neal-interview/
  • https://ew.com/tv/killing-eve-producer-eve-villanelle-fates-series-finale/
  • https://tvline.com/2022/04/10/killing-eve-recap-series-finale-villanelle-dies-ending-explained/
  • https://tvtropes.org/pmwiki/pmwiki.php/Main/BuryYourGays
  • https://www.buzzfeed.com/noradominick/killing-eve-series-finale-laura-neal-interview
  • https://www.elle.com/culture/movies-tv/a39678161/killing-eve-season-4-finale-explained-interviews/
  • https://www.hollywoodreporter.com/tv/tv-features/killing-eve-sally-woodward-gentle-season-4-1235127376/
  • https://www.nytimes.com/2018/05/25/arts/television/killing-eve-sandra-oh.html
  • https://www.nytimes.com/2019/05/26/arts/television/killing-eve-season-2-finale.html
  • https://www.out.com/television/2022/4/11/killing-eves-finale-returns-one-worst-lgbtq-tropes-tv
  • https://www.salon.com/2022/04/10/eve-ending-villanelle-carolyn-konstantin/
  • https://www.standard.co.uk/culture/tvfilm/killing-eve-season-four-laura-neal-interview-jodie-comer-sandra-oh-phoebe-waller-bridge-bbc-b984137.html
  • https://www.youtube.com/watch?v=AHs8Az21pCk
Previous

Matriarchy และ Patriarchy ใน Motherland: Fort Salem

ห้ามพลาด THE BATMAN ฉายบน HBO Go วันที่ 18 เมษายนนี้

Next