The Last Duel ภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Eric Jager เรื่องจริงที่เกิดขึ้นช่วงยุคกลาง คริสตศตวรรษที่ 14 ของ Marguerite de Carrouges (Jodie Comer) หญิงที่กล้าออกมาประกาศและขึ้นให้การว่าตนถูก Jacques Le Gris (Adam Driver) เพื่อนของสามีล่วงเกิน ข่มขืนเธอในบ้านของเธอเอง ขณะที่สามีของเธอ Jean de Carrouges (Matt Damon) ไปรบเพื่อกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนว่า ฌาค เลอ กรี ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้และยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ ในเมื่อไม่มีหนทางพิสูจน์ความจริง ฌอง เดอ คาร์รูจ์สจึงขอท้าประลองให้มีการตัดสินคดีด้วยการต่อสู้ (Trial by Combat) ให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินชะตาจนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายในการประลอง แต่หาก เดอ คาร์รูจ์ส แพ้ โทษตามกฎหมายของฝรั่งเศสกำหนดให้มาร์การีต ภรรยาต้องถูกเผาทั้งเป็นทันทีในโทษฐานให้การเท็จ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกแบ่งการนำเสนอเป็น 3 องก์ แทนมุมมองของแต่ละตัวละครที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นำไปสู่การข่มขืน และจบลงที่การประลอง ในคราวนี้ Matt Damon และ Ben Affleck สองเพื่อนซี้คู่หูคู่บุญที่เคยเขียนบทร่วมกันและคว้ารางวัล Academy Award ในสาขา Best Original Screenplay ปี 1998 จาก Good Will Hunting กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยทั้งคู่รับหน้าที่เขียนมุมมองของผู้ชายในสององก์แรก ส่วนองก์สุดท้าย “ความจริง” ของมาร์การีต เดอ คาร์รูจ์ส เพื่อให้เข้าถึงมุมมอง ความรู้สึกของผู้หญิงอย่างแท้จริง ทั้งคู่จึงมอบหน้าที่นี้ให้กับ Nicole Holofcener ที่เคยฝากผลงานเขียนบทภาพยนตร์ Can You Ever Forgive Me? ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขา Best Adapted Screenplay ปี 2019 และในส่วนของผู้กำกับนั้น หากพูดถึงฉากการประลอง การต่อสู้ในยุคกลาง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Ridley Scott ซึ่งหลังจากที่เดม่อนส่งสคริปต์ให้ดู เขาก็ตัดสินใจมากำกับให้ทันที
Jodie Comer ได้รับเลือกสำหรับบท Marguerite ตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านสคริปต์จริง
สิ่งหนึ่งที่ริดลีย์ สก็อตต์วาดภาพไว้คือเสน่ห์ของมาร์การีต เพราะเธอจะเป็นตัวละครเดียวที่สามารถสื่อและสะท้อนความรู้สึกออกมาได้จากภายใน ซึ่งโจดี้ โคเมอร์เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ได้รับโอกาสนี้ “ฉันได้รับอีเมลบอกว่า ริดลีย์อยากพบฉันสำหรับบทบาทหนึ่ง ฉันได้รับบรีฟมาคร่าวๆ แล้วก็รู้มาว่าบทนี้เขียนอ้างอิงจากหนังสือ ฉันก็เลยซื้อหนังสือมาแล้วก็เริ่มอ่านมัน” โจดี้บอก ไม่นานเธอก็พบกับสก็อตต์เพื่อพูดคุย เธอเล่าว่าวันนั้นถูกยิงคำถามใส่เยอะมาก จนทำให้เธอรู้และเข้าใจว่าเขาไม่ใช่ผู้กำกับที่ออดิชั่นนักแสดงจากสคริปต์ เขาอยากเห็น อยากรู้ว่าคนนั้นเป็นใคร มีความคิดจะสร้างตัวละครอย่างไร และจินตนาการไว้แบบไหน”
โจดี้ยังเล่าด้วยอารมณ์ขันถึงความเข้าใจผิดในวันนั้นว่า ริดลีย์ค่อนข้างจะงงกับสิ่งที่เธอตอบไป จนสุดท้ายถึงมารู้ว่าโจดี้ไม่ได้รับสคริปต์ที่เขียนไว้ เขาจึงบอกให้โจดี้ลองอ่านสคริปต์ใหม่อีกครั้ง เพราะอยากจะฟังความเห็นของเธอจริงๆ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านแล้วโจดี้ไม่รอให้ผ่านเอเจนท์ของเธอ ก่อนที่เธอจะตกลงรับงานนี้ด้วยซ้ำ
เธอให้สัมภาษณ์กับ Variety ในงานพรีเมียร์ The Last Duel ที่นิวยอร์กว่า “ฉันตั้งตารอที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับมาร์การีตไม่ไหวแล้ว ข้อมูลของเธอที่เรามีมันน้อยมาก ทั้งๆ ที่เธอต้องเผชิญกับประสบการณ์อันแสนเลวร้ายนี้ แต่บันทึกประวัติศาสตร์กลับเขียนถึงเฉพาะเรื่องของผู้ชายว่า พวกเขาสู้กันยังไง แต่งตัวแบบไหน พวกเขาเป็นใคร ส่วนข้อมูลของเธอกลับมีเพียงภาพวาดที่เลือนรางไปตามกาลเวลาเท่านั้น หัวใจหลักในครั้งนี้คือ การให้โอกาสให้เธอได้พูดความจริง ซึ่งนี่แหละที่ทำให้ฉันสนใจ”
เธอตอบคำถามถึงความท้าทายของการรับบทมาร์การีตว่า “สิ่งที่ท้าทายสำหรับโปรเจกต์นี้คือ ปกติในฐานะนักแสดง เมื่อได้รับบทบาทไหน เราจะแสดงออกมาเลยจากสิ่งที่เราตีความว่าตัวเราคิดยังไง โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นคิดกับเรายังไง หรือว่าเขาต้องการอะไรจากเรา แต่ในครั้งนี้เรื่องที่ดำเนินแบบแบ่งองก์และเล่าผ่านสายตาตัวละครอื่นๆ ด้วย ทำให้ฉันต้องแสดงโดยอ้างอิงตลอดว่า ตัวละครอื่นจะมองเห็นมาร์การีตแบบไหน เพราะในสายตาของ เดอ คาร์รูจ์ส และ เลอ กรี เองก็ต่างมองฉันต่างกันไป ซึ่งมันสนุกที่จะเล่นนะ แต่บางทีก็มีช่วงสับสนบ้างเหมือนกัน”
เธอเสริม “สคริปต์ถูกเขียนไว้อย่างชาญฉลาด จะมีช่วงเวลา โมเมนต์เล็กๆ ที่เมื่อผู้ชมได้เห็นก็จะเริ่มเข้าใจว่า ‘โอเค’ นี่เองคือสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ลึกๆ และอีกความท้าทายหนึ่งก็คือ การที่ไดอะล็อกของแต่ละองก์ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มันไม่ใช่เพราะตัวละครจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ต่างกัน มันคือซีนเดียวกัน เพียงแค่การรับรู้ การตีความ ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเท่านั้นเอง”
The Last Duel ย้ำเตือนว่า เรามาไกลในหลายเรื่องแต่บางเรื่องกลับไม่รู้อะไรเลย
แมตต์ เดม่อนให้สัมภาษณ์กับ Variety ว่า “เมื่อเราศึกษาลงลึกไปถึงวัฒนธรรมในช่วงยุคกลางของฝรั่งเศสมากเท่าไร ก็ยิ่งพบกับความน่าทึ่งของเธอมากขึ้นเท่านั้น การที่เธอกล้ายืนหยัดที่จะพูดความจริง ถึงแม้ว่าตัวเธอเองต้องมาเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม นี่แหละที่จะทำให้ผู้คนเริ่มตื่นตัวจากความกล้าหาญของเธอ และนี่คือเรื่องราวที่ควรบอกเล่า”
“และหลังจากที่ภาพยนตร์จบ ผู้ชมจะไม่พูดว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า เรื่องราวมันเกิดมานานแล้ว และมันไม่เกิดขึ้นแล้วตอนนี้’ เพราะฉันมั่นใจมากๆ ที่ผู้ชมจะพูดว่า ‘พระเจ้าช่วย เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่เรายังต้องเผชิญแถมยังจัดการเหตุการณ์แบบนี้กันไม่ได้อยู่อีกหรอ’ ถึงแม้มันอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ในทันที แต่แค่เพียงมีคนกล้าที่จะพูดเรื่องนี้มากขึ้น ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ” นิโคล โฮลอฟเซเนอร์เสริม
โจดี้ให้สัมภาษณ์กับ Indiewire ว่า “มองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่มาร์การีตต้องเจอ การที่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ถูกครอบครองได้โดยชาย แล้วการถูกข่มขืนก็นับเป็นอาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างผู้ถือครองไม่ใช่อาชญากรรมต่อตัวเธอเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมเธอถึงยังทำแบบนี้ ทำไมตัดสินใจพูดทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการเอาชีวิตมาเสี่ยง เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผลซะเลย” เธอกล่าว “แต่แล้วเราก็จะรับรู้ได้ถึงความพิเศษของการกระทำนี้ การยืนหยัดและไม่ยอมถอย ในขณะที่เธอมองเข้าไปในตาผู้ชายเหล่านั้นแล้วพูดออกมาด้วยความหนักแน่นว่า ‘ฉันพูดความจริง’”
“เรื่องนี้จะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ย้ำเตือนว่า เรามาไกลกันในหลายๆ เรื่อง แต่ในบางเรื่องกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นจากเดิมเลย โดยเฉพาะประเด็นของผู้หญิงที่ยังคงต้องเจอกับการคุมคามและความรุนแรงทางเพศเช่นนี้ ยังคงต้องสู้เพื่อสิทธิในร่างกายของตัวเองอยู่แบบนี้ ฉันอยากให้ทุกคนเริ่มตระหนักถึงมันมากขึ้น เพราะมันน่าหดหู่ที่ต้องคิดว่า ‘หรือเราต้องรอกันไปอีก 600 ปี เรื่องนี้ถึงจะหายไป’ ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้นนะ หวังว่า The Last Duel จะสามารถสะท้อนอะไรบางอย่างสู่สังคม”
The Last Duel ดวลชีวิต ลิขิตชะตา มีกำหนดเข้าฉายในไทย 28 ตุลาคมนี้
Sources :
- https://screenrant.com/last-duel-jodie-comer-interview/
- https://twitter.com/IMDb/status/1449136920940797952
- https://variety.com/2021/scene/news/the-last-duel-jodie-comer-matt-damon-ben-affleck-1235085485/
- https://www.indiewire.com/2021/10/jodie-comer-the-last-duel-interview-1234670883/