Time’s Up, Women in Film และ ReFrame ยืนหยัดต่อต้านคำแถลงของดิสนีย์ที่มีต่อสการ์เล็ต

| |

หลังจากที่ Scarlett Johansson ยื่นฟ้องดิสนีย์ที่ละเมิดสัญญาเมื่อดิสนีย์เปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้บนบริการสตรีมมิ่ง Disney+ พร้อมๆ กับการฉายในโรงภาพยนตร์ และทางดิสนีย์ได้ออกมาตอบโต้ นั่นทำให้หลายๆ คนลุกขึ้นยื่นเพื่อตอบโต้กับแถลงการณ์ของดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็น Bryan Lourd หนึ่งในประธานบริษัท CAA หรือแม้กระทั่ง Time’s Up, Women in Film และ ReFrame ออกแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อต่อต้านคำแถลงล่าสุดของดิสนีย์

เนื่องจากดิสนีย์ได้ตอบผ่านแถลงการณ์ที่ว่า “การยื่นฟ้องนี้ไม่ทำให้เกิดผลดีใดๆ เลย มีแต่จะนำมาซึ่งความเศร้าและความวิตกกังวลในการเพิกเฉยต่อผลกระทบที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดที่น่ากลัวและยาวนานของโควิด-19” โดยที่ตัวดิสนีย์เองก็บอกว่าทำตามสัญญาอย่างเต็มที่แล้ว และเพิ่มค่าตอบแทนให้สการ์เล็ตอีก 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Time’s Up, Women in Film และ ReFrame ยืนหยัดต่อต้านคำแถลงของดิสนีย์

Time’s Up, Women in Film และ ReFrame ออกมาบอกว่าที่ดิสนีย์ตอบโต้ต่อการฟ้องร้องของสการ์เล็ตว่าเป็น “การโจมตีตัวละครทางเพศ (gendered character attack)” ที่เธอได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่นำโดยผู้หญิงจำนวนมากในวงการฮอลลีวูด

ในแถลงการณ์ของ Time’s Up เผยว่า

“แม้ว่าเราจะไม่มีประเด็นทางธุรกิจในการดำเนินคดีระหว่าง Scarlett Johansson และ The Walt Disney Company แต่เรายืนหยัดต่อต้านคำแถลงล่าสุดของดิสนีย์ที่พยายามมองว่าสการ์เล็ต โจแฮนส์สัน เป็นคนอ่อนไหวหรือเห็นแก่ตัวในการปกป้องสิทธิทางธุรกิจตามสัญญาของเธอ

“การโจมตีตามเพศสภาพนี้ ไม่มีที่ใดในข้อพิพาททางธุรกิจและก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงถูกมองว่ามีความสามารถน้อยกว่าผู้ชายในการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่ต้องเผชิญคำวิจารณ์เชิงโฆษณา”

สาเหตุที่สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน ยื่นฟ้องดิสนีย์ เนื่องจากดิสนีย์ผิดสัญญาที่ว่าจะฉายภาพยนตร์ Black Widow ในโรงหนังเพียงอย่างเดียว แต่กลับฉายพร้อมกันทั้งในโรงหนังและบนบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ในระบบ Premier Access ที่จะต้องสมัครสมาชิกเพิ่มในราคา 29.99 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรับชม ทำให้ในสัปดาห์แรกเปิดตัวไปได้ถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอเมริกาเหนือ และ 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐในต่างประเทศ รวมไปถึงยอด 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการฉายบน Disney+ และทำให้สัปดาห์ต่อมายอดขายตั๋วลดลง และอาจจะทำให้ Black Widow อาจกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์มาร์เวลที่ทำรายได้ต่ำที่สุดตลอดกาล

ซึ่งค่าตอบแทนของสการ์เล็ตส่วนใหญ่จะอยู่กับรายได้ที่ได้จากการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ แต่จะไม่นับในส่วนของ Premier Access บน Disney+ โดยที่ตัวแทนของเธอพยายามเจรจากับ Disney ใหม่ หลังจากที่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในรูปแบบ Premier Access ในวันเดียวกันกับที่ฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ จากทาง Disney และ Marvel นั่นทำให้สการ์เล็ตต้องสูญเสียโบนัสไปถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 1,600 ล้านบาท) และทางดิสนีย์ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงใหม่กับสการ์เล็ตเพื่อที่เธอจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้การเช่าผ่านสตรีมมิ่งด้วย

source:

  • https://deadline.com/2021/07/scarlett-johansson-black-disney-lawsuit-times-up-women-in-film-response-1234806937/
  • https://www.hollywoodreporter.com/movies/movie-news/scarlett-johansson-lawsuit-times-up-1234991071/
  • https://www.instagram.com/p/CR99fpogZih/
Previous

Emma Stone กำลังพิจารณายื่นฟ้องดิสนีย์หลังจากปล่อย Cruella ทาง Disney+ พร้อมกับฉายในโรง

Jodie Comer พลิกบทบาทจากนักฆ่าสู่การเป็นโปรแกรมเมอร์สาวใน Free Guy

Next