Minari: เมื่อผักชีล้อมเติบใหญ่ในต่างแดน

| |

การมองหาถิ่นฐานใหม่สำหรับการสร้างอนาคต ถือเป็นหนึ่งในความฝันสำหรับใครหลายๆ คน

Minari ภาพยนตร์อเมริกันที่บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวเกาหลีในช่วงยุค 1980 ที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานจากแคลิฟอร์เนียไปตั้งต้นชีวิตใหม่ในอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา พวกเขาย้ายไปใช้ชีวิตในฟาร์มเล็กๆ บนดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นั่นจึงทำให้เขาและครอบครัวต้องปรับตัวอย่างมาก ทั้งเรื่องของผู้คนและสภาพแวดล้อม รวมไปถึงบททดสอบที่ชวนคิดทบทวนเกี่ยวกับรกรากของตัวเอง

สำหรับ Minari ภาพยนตร์เรื่องที่สี่ของผู้กำกับ Lee Isaac Chung ที่เขาอยากจะสร้างมันขึ้นมานานมากแล้ว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนการหลอมรวมโลกทั้งสองใบที่เขาเคยประสบมา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนการบอกเล่าเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของเขา

Minari (L-R) Steven Yeun, Alan S. Kim, Yuh-Jung Youn, Yeri Han, Noel Cho Photo by Josh Ethan Johnson, Courtesy of A24
(L-R) Steven Yeun, Alan S. Kim, Yuh-Jung Youn, Yeri Han, Noel Cho
Photo by Josh Ethan Johnson, Courtesy of A24

“สำหรับผม ภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกี่ยวกับความหวังเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่กันและกัน สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือการให้ผู้คนเข้ามาในโลกของครอบครัวนี้ด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ ปราศจากการตัดสินจากคนอื่นๆ มันมีอะไรอีกมากที่สามารถดึงเราให้มาอยู่ร่วมกันในฐานะมนุษญ์มากกว่าหมวดหมู่ที่คนเราได้สร้างขึ้นมาอย่างผิวเผิน สำหรับบางคน มินาริอาจจะเป็นโอกาสที่จะได้เห็นชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีได้เล่าเรื่องราวของเราเองในที่สุด แต่ผมก็พบว่าตัวละครเหล่านี้มีความหมายพอๆ กับผู้คนจากสถานที่ต่างๆ ทั้งจากอาร์คันซอ หรือจากนิวยอร์ก หรือที่ใดก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าเรื่องราวส่วนตัวของผม สามารถเชื่อมต่อกับผู้คนต่างๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป”

Minari

  • กำกับและเขียนบทโดย Lee Isaac Chung
  • กำกับภาพโดย Lachlan Milne
  • เพลงประกอบโดย Emile Mosseri
  • นำแสดงโดย Steven Yeun, Han Ye-ri, Alan Kim, Noel Kate Cho, Youn Yuh-jung, Will Patton, Scott Haze และ Jacob Wade
Minari มินาริ - Official Trailer [ ตัวอย่างซับไทย ]

เกี่ยวกับมินาริ

จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือตอนที่ Lee Isaac Chung อยากที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้ลูกสาวของเขาฟัง เกี่ยวกับสถานที่ที่เขาจากมา อะไรทำให้ครอบครัวของเขาตัดสินใจย้ายมายังสหรัฐอเมริกา และคำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเขาแล้วมันคืออะไร “การเขียน Minari คือสิ่งที่ให้ความรู้สึกว่านั่นเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย เพราะสิ่งที่ผมคิดก็คือ ถ้าผมสามารถทำหนังสักเรื่องทิ้งไว้ให้ลูกสาวของผมได้ดู เรื่องนั้นมันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร” เขายังบอกต่ออีกว่า “ผมเขียนเล่าเรื่องราวความทรงจำกว่า 80 อย่าง จากช่วงที่ผมอายุประมาณลูกสาวของผมตอนนี้ ตั้งแต่การโต้เถียงกันอย่างดุเดือดของพ่อแม่ในอาร์คันซอ มีชายเข้ามาทำงานให้พ่อของผมแล้วก็ลากรถข้ามเมือง ไปจนถึงยายของผมเผาไร่ของเราไปเกือบครึ่ง เมื่อมองย้ายกลับไปแล้ว นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะเล่ามาโดยตลอด” แต่ตัวของผู้กำกับเองก็ย้ำมาตลอดว่ามินาริไม่ใช่ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราววัยเด็กของเขาเอง “เจคอบกับโมนิก้าก็ไม่ใช่พ่อแม่ของผม แต่มันก็มีเสียงสะท้อนอยู่ในนั้น มันมีเรื่องราวของผมซ่อนอยู่ลึกๆ ลงไป”

นอกจากนี้แล้ว มินาริยังได้แรงบันดาลใจมาจากนักเขียนวรรณกรรมอเมริกันทั้งของ Flannery O’Connor และ Willa Cather ด้วยเช่นกัน “สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ Flannery O’Connor คือตัวละครที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดที่สุดมักจะเป็นตัวละครที่มอบความสง่างามและการไถ่บาป มันจะมีบางอย่างที่ขัดแย้งกัน และยืนหยัดชีวิตในเรื่องราวเหล่านั้น” เขายังเสริมต่ออีกว่า “สำหรับ Willa Cather เธอเคยบอกไว้ว่า ‘สำหรับฉัน ชีวิตเริ่มต้นขึ้นเมื่อฉันหยุดชื่นชมและเริ่มจดจำ’ นั่นทำให้ผมได้ไอเดียมามากมายเลย”

หนึ่งในสาเหตุที่ Lee Isaac Chung ตัดสินใจเขียนบทสนทนาของครอบครัว Yi เป็นภาษาเกาหลีนั่นก็เพราะต้องการสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขานั้นเพิ่มย้ายมาที่สหรัฐอเมริกา “บ่อยครั้งที่คุณเห็นตัวละครในภาพยนตร์อเมริกันพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งมันไม่ได้ใช้จริงในชีวิตของพวกเขา แต่ผมคิดว่า ยิ่งภาพยนตร์ถ่ายทอดรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของตัวละครนั้นออกมาได้แท้จริงมากเท่าไหร่ มันยิ่งมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น” เขาเสริมต่ออีกว่า “มันมีความไม่ลงรอยกันในการพูดภาษาเกาหลีที่บ้าน มันคือสิ่งที่คุณไม่สามารถเข้าใจกันได้ด้วยวิธีอื่น”

Minari / Han Yeri, Noel Kate Cho
Photo by Melissa Lukenbaugh/A24

Christina Oh หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ออกมาบอกว่า “ไม่ว่าจะด้วยภาษาใดก็ตาม นี่คือภาพยนตร์อเมริกัน ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการไล่ล่าความฝันของชาวอเมริกัน ฉันเติบโตมาพร้อมกับการพูดภาษาเกาหลี แต่ฉันรู้สึกเป็นคนอเมริกันมากๆ นั่นเป็นประสบการณ์ที่พบได้บ่อยอยู่”

“ผมพยายามอย่างมากในการเขียนตั้งแต่เริ่มเพื่อที่จะให้ออกห่างจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็นภาพยนตร์และมันจะก้าวออกจากการเป็นเพียงแค่บันทึกของความทรงจำ” Lee Isaac Chung บอกกับ The Korea Herald นอกจากนี้แล้ว ตัวผู้กำกับยังขอให้แต่ละคนสร้างตัวละครนั้นๆ ขึ้นมาเอง แทนที่จะเลียนแบบพ่อแม่ของเขา เพื่อสร้างเรื่องราวให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เขาคอยแก้ไขและปรับบทอย่างละเอียดหลังจากที่พูดคุยกับทีมนักแสดงระหว่างการถ่ายทำ “เราแบ่งปันประสบการณ์เดียวกันมากมายแม้แต่คนที่ไม่ใช่คนเกาหลีก็สามารถเล่าเรื่องยายของพวกเขาให้ผมฟังได้หลังจากที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ มันยอดเยี่ยมและสวยงามมากสำหรับผม”

กว่าจะมาเป็นครอบครัว Yi

ผู้กำกับเลือก Steven Yeun สำหรับบทบาทนี้เป็นคนแรก อ้างอิงจาก Production Notes ของมินาริ ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับไฟเขียวให้เริ่มถ่ายทำกัน Lee Isaac Chung ก็ส่งสคริปต์ไปให้ Steven Yeun ได้อ่าน เขามีความรู้สึกว่าตัวของสตีเว่น ยอน น่าจะเข้าใจตัวของเจคอบ เพราะว่าตัวของสตีเว่นก็เกิดที่เกาหลีใต้ และเติบโตที่เมืองทรอย รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา สตีเว่นย้ายมาสหรัฐอเมริกาพร้อมกับครอบครัวตอนอายุ 5 ขวบ “ขาของเขาข้างนึงยังอยู่ที่เกาหลี แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเป็นชาวอเมริกันมากๆ เช่นกัน การที่เขาเติบโตขึ้นในมิดเวสต์ ทำให้เขาสามารถผสมผสานเข้ากับสองวัฒนธรรมนั้นได้ แต่เขาเองก็ยังเป็นคนนอกของทั้งสองสิ่งอีกด้วย”

“เราโชคดีมากที่ได้เยริมาร่วมงานด้วย” Lee Isaac Chung ยังเสริมต่ออีกว่า “เมื่อผมพบเธอ ผมก็รู้ทันทีว่าผมเขียนโมนิก้าไปเพื่อใคร มันเป็นเรื่องง่ายนะที่จะเล่นบทโมนิก้าในฐานะที่เป็นภรรยาขี้บ่น แต่ว่าเยริเองก็เผยให้เห็นว่าโมนิก้าเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากด้วย ทั้งเรื่องของความรู้สึกที่ชัดเจน และการเห็นความสำคัญในตัวเอง แม้ว่าเธอจะเติบโตมาในวัฒนธรรมที่ผู้หญิงเป็นตัวย่อยเล็กๆ ก็ตาม ผมอยากให้คุณรู้สึกว่าเจคอบและโมนิก้าเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่มีสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ และเยริเองก็ทำทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ ละเอียดอ่อน และน่ามหัศจรรย์”

Minari / Alan S. Kim Photo by Josh Ethan Johnson, Courtesy of A24
Minari / Alan S. Kim
Photo by Josh Ethan Johnson, Courtesy of A24

“กุญแจสำคัญของหนังทั้งเรื่องคือผู้ชมจะต้องตกหลุมรัก David Yi” Christina Oh โปรดิวเซอร์ของมินาริได้กล่าวเอาไว้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาค้นหาผู้รับบทตัวละครนี้อย่างหนัก ค้นหาผู้รับบทนี้ที่มีทั้งความอ่อนโยน ไร้เดียงสา เข้มแข็งและเปราะบาง “สิ่งที่ฉันรักมากที่สุดคืออลันเป็นคนที่ทำทุกอย่างได้เป็นธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลย อันที่จริง อลันยังเด็กมากๆ และเรากังวลว่าเขาอาจจะไม่พร้อมที่จะรับมือกับมัน เราไม่สามารถทำผิดได้มากไปกว่านี้ เขานำความเป็นตัวเองมาทุกวัน และเขาเองก็เป็นแสงที่สว่างไสวในกองถ่ายที่มาพร้อมกับน้ำเสียงอันร่าเริงของเขา เช่นเดียวกับ Noel Kate Cho ที่รับบท Anne”

Noel Kate Cho เธอเองก็เป็นหนึ่งในนักแสดงเด็กที่มาใหม่ไม่ต่างกับ Alan S. Kim “เธอเป็นคนที่น่าทึ่งมากในการออดิชั่น อาจจะเพราะว่าเธอมีน้องชายในชีวิตจริง แล้วก็คอยดูแลกันตลอดเวลา และเมื่อเราพาเธอไปอยู่กับอลัน พวกเขาก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันทันที โนเอลมีอะไรมากมายที่พร้อมมอบให้ แต่ในการเป็นพี่สาวคนโต ก็สามารถช่วยอลันได้มากเช่นกัน” Lee Isaac Chung ยังเสริมอีกว่า “ส่วนสำคัญของ ‘แอนน์’ ก็คือ เธอเป็นคนที่จริงจังในการดูแลคนที่เธอรัก และโนเอลก็ทำเช่นนั้นด้วยวิธีของเธอเอง” สำหรับตัวของโนเอลแล้ว การทำความรู้จักกับอลันคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้บทของพวกเขานั้นยิ่งแนบสนิทกันมากยิ่งขึ้น “วันแรกที่เจออลัน หนูเอาดินสอสีกับกระดาษไปด้วย เพราะว่าเราจะได้นั่งวาดรูปเล่นกัน” เธอบอกผ่านการให้สัมภาษณ์ออนไลน์

สำหรับบทบาทของ Soonja ผู้กำกับต้องหานักแสดงที่เข้ากับเดวิดได้ เพราะทั้งคู่ต่างเป็นหัวใจสำคัญของครอบครัว Youn Yuh-Jung คือหนึ่งในนักแสดงที่เขามองหา เธอเป็นเหมือนตำนานของวงการเกาหลีใต้ “ผมเคยสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และภาพยนตร์ของยุนยอจองในชั้นเรียนของผม นั่นมันจึงเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับเธอจริงๆ พ่อของผมถึงกับแสดงความยินดีกับผมหลังจากที่ได้ยินว่า Youn Yuh-Jung มาร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเป็นศิลปินตัวจริง ผู้เชี่ยวชาญในงานฝีมือของเธอ ทั้งสัญชาตญาณและทักษะระดับของเธอ อยู่ในระดับที่ว่าเธอสามารถอยู่ในวงสนทนากับนักแสดงที่มีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้อีกด้วย เธออาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันดีเพราะว่าเธอยังไม่ได้ออกเดินทางในเส้นทางอเมริกานั่นเอง” ตัวผู้กำกับยังกล่าวอีกว่า “จุดพีคของภาพยนตร์ Minari เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Soonja เดินทางมาถึงอาร์คันซอ

ตัวของ Youn Yuh-Jung ผู้รับบท Soonju บอกว่า เธอได้รับสคริปต์เรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ และมันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากสำหรับเธอ แต่พออ่านไปได้ 30 หน้าแล้ว เธอก็รู้สึกว่ามันมีความเรียลและมันคือความจริงที่ถูกเล่าออกมาผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากนั้นเธอก็เลยสอบถามไปยังเพื่อนของเธอว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันเล่าถึงประสบการณ์ของผู้กำกับออกมาด้วยใช่ไหม เมื่อทางนั้นตอบว่าใช่ เธอก็เลยตัดสินใจโทรบอกคนที่ส่งสคริปต์มาให้ว่าเธอตกลงที่จะรับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ และเธอเองก็ยังบอกกับบงจุนโฮระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่าเธอไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยกับการรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเลย

การไล่ตามความฝันแบบอเมริกันชน

Alan S. Kim, Yuh-Jung Youn Director Lee Isaac Chung
Photo by Josh Ethan Johnson/A24

“พ่อของผมมาอเมริกาโดยเชื่อในความฝันแสนโรแมนติกของสิ่งที่เขาเห็นในหนังอย่าง Big Country และ Giant ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์พร้อมคำมั่นสัญญามากมาย” Lee Isaac Chung บอก เขายังเสริมอีกว่า “ผมจำได้ว่าเขา(พ่อ) ออกจากบ้านตอนตีสอง ท่ามกลางหิมะปกคลุมต้นไม้ การทำฟาร์มมันมีความเสี่ยงในระดับที่มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องทำให้คุณรู้สึกได้ ผมอยากที่จะแสดงให้เห็นถึงบางส่วน แต่ในทางกลับกัน มันก็สะท้อนให้เห็นว่าธรรมชาติมักมอบสิ่งที่สวยงามมาให้”

จากงานภาพของ Lachlan Milne ผู้กำกับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเคยกำกับภาพให้กับ Stranger Things ถึง 4 ตอน และงานของ Taika Waititi อย่างเรื่อง Hunt For The Wilderpeople ตัวของโปรดิวเซอร์ Christina Oh เสริมว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความสำคัญกับสุนทรียภาพของ Lachlan มากๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถ่ายทำ แต่เขามีจิตวิญญาณที่ฉันไม่คิดว่าเราจะรอดมาได้ถ้าเกิดไม่มีเขา คุณจะรู้สึกได้ถึงความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับทุกๆ เฟรม ที่นำเสนอออกมา”

สำหรับ Production Design ของภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากที่ตัวผู้กำกับตัดสินใจที่จะให้นักแสดงและทีมงานเข้าไปอยู่ในรถเทรลเลอร์ ฝ่ายของ Lee Yong Ok โปรดักชั่นดีไซเนอร์ก็คัดเลือกสิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวัง “เธอเอารถเทรลเลอร์คลาสสิกกลับบ้าน และทำให้รู้สึกว่านั่นเหมือนบ้านของชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีในยุค 80 เลย” Christina Oh บอกต่อด้วยว่า “ฉันจำพื้นปูพรมและผ้าม่านได้ทันที แม้แต่อ่างน้ำที่มันเป็นจุดๆ มันเหลือเชื่อมาก มันทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับไปบ้านของตัวเองเลย”

สำหรับการถ่ายทำในรถเทรลเลอร์ ผู้กำกับกับผู้กำกับภาพก็ต้องมานั่งคิดกันว่าจะทำอย่างไรไม่ให้รู้สึกอึดอัดเกินไป “ผมชอบจัดรูปแบบองค์ประกอบตามที่นักแสดงต้องการ และ Lachlan ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมในการทำงานบนพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้”

รางวัลและการเสนอชื่อเข้าชิงต่างๆ

Mina ภาพยนตร์ลำดับที่สี่ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเข้าชิงรางวัลจากเวทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • Academy Awards ครั้งที่ 93
  • Alliance of Women Film Journalists
  • American Film Institute
  • British Academy Film Awards
  • Critics’ Choice Awards
  • Deauville Film Festival
  • Directors Guild of America Awards (DGA) ครั้งที่ 73
  • Golden Globe Awards ครั้งที่ 78
  • Independent Spirit Awards
  • Producers Guild of America Awards ครั้งที่ 32 (PGA Awards)
  • Screen Actors Guild Awards
  • Sundance Film Festival
  • Toronto Film Critics Association Awards
  • Washington D.C. Area Film Critics Association
  • ฯลฯ
เรียนรู้ สานสายใยไปกับ “สตีเว่น ยอน” นักแสดงชายที่มาแรงที่สุดนาทีนี้ #Minari #มินาริ

Minari โดย A24 พร้อมเข้ามาครอบครองหัวใจผู้ชมในวันที่ 1 เมษายนนี้

*ฉายรอบพิเศษ 25 มีนาคม

source:

  • https://a24films.com/notes/2021/01/reclaiming-the-american-dream-with-steven-yeun
  • https://coldteacollective.com/minari-a-quintessential-american-film-for-the-asian-american-experience/
  • https://press.a24films.com/films/minari
  • https://www.latimes.com/entertainment-arts/movies/newsletter/2021-02-17/lee-isaac-chung-minari-envelope-newsletter-the-envelope-podcast-edition
  • https://www.youtube.com/watch?v=A8IyCyJXSGk
  • https_://www.youtube.com/watch?v=ZPQWDrulvV8
Previous

รีวิว ‘อังคารคลุมโปง The Series’ ตอนที่ 3 ‘มือที่สาม’

ฟัง Soundtracks ภาพยนตร์ Minari กันให้ชื่นใจก่อนไปรับชมผลงานในโรง

Next