Virginia Woolf นักเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ นักพิมพ์ และเฟมินิสต์ชาวอังกฤษ ผู้มีบทบาทในวรรณกรรมสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 20 เรื่องราวของเธอและหนังสือของเธอถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นภาพยนตร์กันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Golven (1982), To the Lighthouse (1983), Orlando (1992), Mrs. Dalloway (1997), The Hours (2002) และภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง Vita and Virginia (2018) ของผู้กำกับ Chanya Button
สำหรับผลงานของ Virginia Woolf ฉบับแปลไทยนั้น ได้หยิบเอาผลงานการเขียนของเธอมาแปลไว้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs Dalloway) โดยสำนักพิมพ์คมบาง
- ห้องส่วนตัว (A Room of One’s Own) โดยสำนักพิมพ์สยามปริทัศน์
- ทู เดอะ ไลท์เฮาส์ (To the Lighthouse) โดยสำนักพิมพ์สมมติ
- ออร์แลนโด: ชีวประวัติ (Orlando: A Biography) โดยสำนักพิมพ์ Library House
- สตรีในกระจก: ภาพสะท้อนห้วงคำนึง และเรื่องสั้นคัดสรรอื่นๆ (The Lady in the Looking-Glass: A Reflection and other selected stories) โดยสำนักพิมพ์ Library House
Vita and Virginia
Vita and Virginia เป็นผลงานการกำกับเรื่องที่สองของ Chanya Button ผู้กำกับ นักเขียนบทภาพยนตร์ โทรทัศน์ และละครเวที ชาวอังกฤษ ที่ได้ Gemma Arterton และ Elizabeth Debicki มารับบท Vita Sackville-West และ Virginia Woolf ตามลำดับ
แต่ก่อนที่จะมาเป็นฉบับภาพยนตร์นั้น Vita and Virginia เป็นบทละครเวทีมาก่อน ที่เขียนขึ้นโดย Eileen Atkins เพื่อแสดงละครเวทีที่บรอดเวย์และเวสต์เอนในช่วงปลายยุค 80 ถึงต้นยุค 90 โดยที่ตัวของ Eileen Atkins นั้นได้มอบสคริปต์มาให้กับ Gemma Arterton และส่งต่อมาให้กับ Chanya Button ผู้กำกับหญิงคนนี้ โดยที่เจมม่านั้นตั้งใจที่จะสนับสนุนผู้กำกับหญิงให้มีผลงานในวงการมากยิ่งขึ้นตามความต้องการของเธอและบริษัทโปรดักชันของเธอด้วยเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว ตัวของ Eileen Atkins และสามี Bill Shepherd ก็อยากที่จะให้ละครเวทีเรื่องนี้กลายมาเป็นภาพยนตร์ แต่น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปก่อนที่เธอจะเข้าร่วมโปรเจกต์ และเมื่อเธอจะส่งมอบบทละครเวทีให้กับชัญญ่า ไอลีนก็ได้เขียนดราฟต์สคริปต์หนังเรื่องนี้เอาไว้ก่อน หลังจากนั้น ชัญญ่าก็ได้ไปพบกับไอลีน และใช้เวลาในช่วงหน้าร้อนที่บ้านของไอลีนที่ริชมอนด์ พูดคุยเกี่ยวกับ Virginia Woolf และสิ่งที่อยากจะให้มีในภาพยนตร์เรื่องนี้
Chanya Button บอกว่าบทละครเวทีของ Eileen Atkins นั้นน่ามหัศจรรย์มาก วิตาและเวอร์จิเนียเขียนจดหมายหากันกว่าร้อยฉบับในระยะเวลาตลอดหลายปีของความสัมพันธ์นั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้ (Vita and Virginia) จะมีตัวละครอื่นๆ เพิ่มเข้ามา มีช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง และมีโมเมนต์ระหว่าง Vita และ Virginia ที่มิตรภาพระหว่างพวกเขาเปลี่ยนจากความรักบริสุทธิ์ (platonic) และความเป็นมืออาชีพ ให้กลายเป็นความโรแมนติก มันไม่ใช่การดัดแปลงบทละคร แต่เป็นสิ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้
“ฉันรู้ดีว่า Vita & Virginia จะเป็นภาพยนตร์แนวอาร์ตเฮาส์ ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้มากขึ้น เพราะว่าคุณไม่ได้มองหาภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ สิ่งที่ฉันหันกลับไปมองอยู่บ่อยๆ ก็คือสเตจเมนต์ของ Virginia และ Leonard Woolf ที่เขียนขึ้นตอนที่ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Hogarth Press ว่า ‘วัตถุประสงค์ของเรา … การตีพิมพ์ผลงานในราคาต่ำ งานสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอกก็ตาม เพราะว่ามันไม่ใช่งานที่ดึงดูดต่อคนกลุ่มใหญ่’ และพวกเขาก็แหกกฎทั้งหมด และทำให้เกิดการตีพิมพ์งานเขียนของนักเขียนสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่ จนในทุกวันนี้กลายเป็นกระแสหลัก” Chanya Button บอกกับ The Guardian
ตัวของผู้กำกับก็บอกว่าจากการที่ได้ร่วมพูดคุยกับลูกหลานของ Virginia Woolf ที่ยังมีชีวิตอยู่ และนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับเธอ ผ่านการอ่านไดอารี่และจดหมายต่างๆ จากการไปเยือนสถานที่ที่เธอเคยอยู่ ตัวของ Chanya Button เองก็บอกว่า “สิ่งที่ฉันได้รับจากการเขียนของเวอร์จิเนียก็คือเธอเป็นคนที่เข้าใจในอารมณ์นั้นๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเป็นตัวเอง ความเข้มแข็ง ความเปราะบางทั้งหลายของผู้หญิง นั่นคือเหตุผลที่ฉันอยากจะทำให้ตัวละครของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ มีชีวิตขึ้นมา เธอแข็งแกร่ง แต่เปราะบาง ลึกๆ แล้วเธอเป็นคนที่เข้มแข็ง และผู้หญิงหลายๆ คนบอกว่าเธอเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ แต่ก็เปราะบาง”
Chanya Button ก็ยังบอกอีกว่า “จุดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ เมื่อทุกคนรอบๆ เวอร์จิเนียคิดว่าการที่เธอมีความรักกับวิตานั้นจะเข้าไปทำลายเธอ เพราะว่าเธอต้องซัฟเฟอร์กับสุขภาพจิตมาตลอดเวลา และวิตามีชื่อเสียงในเรื่องพวกนี้ ทุกคนคิดว่าวิตาจะครอบงำเธอ และในช่วงที่วิตาถอยห่างจากเวอร์จิเนีย ฉันคิดว่าวิตาตระหนักดีว่าเวอร์จิเนียจะไม่มีวันยอมตัวเองกับเธอเลย เพราะว่าเวอร์จิเนียต้องการเลโอนาร์ด สามีของเธอ และต้องการเวลาให้กับตัวเองเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน แต่ว่าวิตานั้นต้องการให้ความทุ่มเททั้งหมดอยู่กับเธอ พอวิตาผละออกไป เวอร์จิเนียก็ทุ่มความคิดสร้างสรรค์สุดอัจฉริยะของเธอเพื่อเขียนทางออกให้กับตัวเอง และในตอนนั้นเธอก็สร้าง ‘Orlando: A Biography’ ขึ้นมา”
จากวิตา ถึงเวอร์จิเนีย
“ตัวของ Vita Sackville-West นั้นช่างซับซ้อน เธอเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง เธอมีความเป็น androgynous (คนที่มีความผสมผสานกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย) และแต่งตัวแบบผู้ชายเมื่อเธอต้องการ เธอมีทัศนคติแบบผู้ชายเกี่ยวกับเรื่องความรักและเซ็กซ์ ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการไล่ล่าและพิชิต ที่เธอห่างไกลกับอะไรพวกนั้น นั่นเป็นสิ่งที่เวอร์จิเนียเข้าใจได้มากกว่าใครๆ ซึ่งตัวของเจมม่าเองสามารถเข้าใจเลเยอร์ของวิตาได้ เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่าทะนุถนอม น่ารัก แต่ก็ยังเป็นคนที่อันตรายและเป็นคนที่อาจทำร้ายคุณได้” Chanya Button เอ่ยถึงตัวของวิตา และ Gemma Arterton ผู้รับบท Vita Sackville-West
ในคราวแรก บทบาทของ Vita Sackville-West และ Virginia Woolf ถูกวางตัวเอาไว้ที่ Gemma Arterton นักแสดงและโปรดิวเซอร์ กับ Eva Green ตามลำดับ แต่ Eva Green ติดคิวถ่ายกับโปรเจกต์อื่นก่อน นั่นก็เลยทำให้ Elizabeth Debicki เข้ามารับบทนี้แทน
หลังจากที่ผู้กำกับอย่าง Chanya Button ส่งบทภาพยนตร์ Vita and Virginia ให้กับ Elizabeth Debicki อ่านในวันพฤหัสบดี เธอก็ตกลงเซ็นสัญญาในวันจันทร์ถัดมาเลยทันที Chanya Button บอกว่าเธอไม่เจอนักแสดงที่มีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญที่จะแสดงความซื่อสัตย์และความทะเยอทะยานของเธอในฐานะศิลปิน อย่างที่เธอบอกว่า ‘ใช่ มันฟังดูน่าสนใจ ฉันพร้อมแล้วล่ะ'”
ตัวของเอลิซาเบธบอกว่าความประทับใจแรกของเธอต่อบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือความโดดเด่นที่เฉพาะตัวอย่างมาก ในวิธีการรับมือระหว่างความสัมพันธ์ของ Vita และ Virginia “ฉันไม่เคยอ่านเรื่องอะไรเหมือนเรื่องนี้มาก่อนเลย มันฉลาดและเฉียบคม รวมไปถึงหลักวรรณกรรมของพวกเขาช่างเข้ากับตัวอักษร วิธีการที่พวกเขาพูดถึงกัน มันเป็นการให้เกียรติในงานของพวกเขา แต่ก็ดึงพวกเขาเข้าสู่ด้านมนุษย์ และจุดศูนย์กลางของมันคือเรื่องราวของความรักที่มันน่าปวดหัวเอามากๆ”
เจมม่าบอกว่าเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเอลิซาเบธจะตกลงรับบทนี้ “เธอสมบูรณ์แบบ เธอมีส่วนร่วมในบทนี้อย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันมีความกดดันมากมาย แต่เธอก็ทำเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ฉันได้ดูเธอด้านหลังกล้องแล้วก็เตือนตัวเองให้แสดงด้วย เพราะว่าฉันประทับใจเธอมาก” ส่วนตัว Chanya Button ก็บอกว่าการที่ได้เอลิซาเบธมาร่วมงานด้วยก็ถือว่าเป็นความฝันของเธอเหมือนกับเจมม่า “มันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับการกำกับ ในแง่ของฉันมันคือการที่ได้เฝ้ามองการแสดงของพวกเขา เราสามคนเป็นเหมือนศิลปินที่กำลังร่วมมือกันในโปรเจกต์นี้ เรามีเป้าหมายเดียวกัน และเราก็เคารพซึ่งกันและกัน”
Gemma Arterton ก็ยังเสริมด้วยว่า “ฉันเป็นกังวลเกี่ยวกับการที่แม่และน้าของฉันดูภาพยนตร์เรื่องนี้ แล้วก็บอกว่า ใครเป็นเกย์นะ พวกเธอต่างเป็นเพื่อนกัน ใครเป็นเกย์ แต่พวกเขาก็มาดูนะ แล้วแม่ของฉันก็บอกว่ามันเป็นสิ่งสวยงาม เพราะว่าคุณเห็นว่าผู้หญิงเหล่านั้นเปิดเผยบางสิ่งต่อกัน”
The Letters
อย่างที่เราจะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ให้ตัวละครอ่านจดหมายที่ส่งไปหาระหว่างกันนั้น ตัว Chanya Button บอกว่าเธออยากที่จะให้ทุกคนได้อ่านจดหมายของ Vita และ Virginia ที่ส่งถึงกัน มันเต็มไปด้วยความรัก มิตรภาพ ตัณหา และความคิดสร้างสรรค์ที่เจ็บปวดและคมคายอย่างมาก พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงคนรัก แต่ต่างเป็นแรงบันดาลใจต่อกัน ดังเช่นศิลปินและสายสัมพันธ์ที่น่าสนใจ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน และแม้กระทั่งช่วงเวลาหลังจาก sexual relationship ก็ตาม ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นมีหลายชั้น และข้อความในจดหมายนั้นยังคงเป็นตัวสะท้อนออกมา
สำหรับในฉากนั้นที่ทั้งวิตาและเวอร์จิเนียอ่านจดหมายต่อกันนั้น ส่วนมากแล้วเราจะเห็นว่ามันเป็นแค่เพียงตัวอักษรลอยอยู่ในฉากนั้นๆ พร้อมกับเสียงพากย์ แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครนั้นๆ ต่างออกมายืนอ่านจดหมายเหล่านั้นด้วยตัวเอง ผู้กำกับเผยว่าเธออยากที่จะให้ผู้ชมรู้สึกว่าผู้หญิงพวกนี้จะสามารถยั่วยวน (ผ่านตัวอักษร) ได้อย่างไร เธอคิดว่ามันเป็นฉากที่ยอดเยี่ยม ทั้งดูดิบและดึงดูดให้กลับไป แถมยังมีเสน่ห์อีกด้วย
ตัวผู้กำกับ Chanya Button นั้น เธอคิดว่า LGBTQ romance คือสิ่งที่สำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะได้ดูงานศิลปะและงานเขียนดีๆ มีช่วงเวลาดีๆ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ บุคคลที่มีชื่อเสียง และได้เห็นต้นรากของสิ่งที่ประวัติศาสตร์งานศิลปะและงานเขียน
เครื่องแต่งกาย
เรื่องของคอสตูมและเครื่องแต่งกายใน Vita and Virginia นั้น ได้ Lorna Marie Mugan คอสตูมดีไซน์เนอร์จาก Peaky Blinders และ Mrs. Wilson มาออกแบบให้ เธอบอกว่า “วิตาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ขี้สงสัย ดิ้นรน และมักเบื่อหน่ายผู้คน เมื่อเธอได้รับชัยชนะ ดังนั้น เครื่องแต่งกายของวิตาจึงต้องดูขี้เล่น แต่ก็ใช้เป็นสีชุดเดียว มีความ androgynous ด้วย แต่ก็ยังคงสง่างามอยู่เสมอ” ส่วนคอสตูมของเวอร์จิเนียนั้น เธอมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่รายล้อมด้วยศิลปิน เธอเติบโตขึ้นในแวดวงโบฮีเมียน “เครื่องแต่งกายของเวอร์จิเนียจะมีหลายชั้น ทั้งผ้าเนื้อละเอียด ผ้าชิฟฟอนเนื้อนุ่ม และผ้ากำมะหยี่ลายโบฮีเมียนตัวหนา แต่ก็มีความเปราะบาง และมีสวมคาร์ดิแกนขนสัตว์บ้างเป็นบางครั้ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นศิลปินในตัวของเวอร์จิเนีย มีความเปราบาง ความรู้สึกไม่ปลอดภัย “เธอเป็นคนที่พิถีพิถันอย่างมากในรายละเอียดของสิ่งของต่างๆ รวมไปถึงการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ทำให้การลองชุดใหม่สำหรับโอกาสสำคัญนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เธอกังวล
Lorna Marie Mugan บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มขึ้นในช่วงยุค 1929 ที่สะท้อนให้เห็นถึงการที่ข้อจำกัดทางการแต่งกายของผู้หญิงนั้นลดน้อยลง และศิลปะเข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้น เธอสร้างเครื่องแต่งกายทุกๆ ชิ้นตั้งแต่เริ่มต้น และในช่วงเตรียมการผลิต เธอทำ 6 ลุคเสร็จภายใน 1 วัน “ฉันใช้ผ้าแบบย้อนยุคผสมกับผ้าสมัยใหม่ ออกแบบลายพิมพ์ต้นฉบับสำหรับให้วิตาสวมใส่โดยได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของ Sonia Delaunay นอกจากนี้ยังใช้ไข่มุกให้วิตาสวม เพื่อปรับลุค androgynous ของวิตา และเวอร์จิเนียก็มีแว่นตาทรงกระดองเต่า”
สำหรับชุดของ Lady Sackville ที่รับบทโดย Isabella Rossellini นั้น Lorna Marie Mugan ต้องตัดชุดให้กับเธอทั้งที่ยังไม่ได้พบกับตัวนักแสดง “เธอเข้ามาในช่วงวันหรือสองวันก่อนเริ่มการถ่ายทำ แล้วชุดของเธอก็ซับซ้อนเอามากๆ โดยเฉพาะหมวก”
ชุดของวิตานั้น ดีไซเนอร์ก็บอกว่าเธอพยายามที่จะปรับให้ลุคของวิตาดูเหมือนจะเป็นตัวละครใน Orlando: A Biography ทั้งอิทธิพลของเปอร์เซียในการตัดเสื้อเอวสูงหรือเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีดำที่มีปกเสื้อครุยสีขาว กางเกงขายาวแบบพาลาซโซที่เหมือนกับทักซิโด้ในเวอร์ชันของเธอ มูแกนบอกว่าเธออยากที่จะให้วิตาทดลองสวมชุดต่างๆ เพื่อปรับบุคลิกและสะท้อนอารมณ์ของเธอ ณ ตอนนั้น
เพลงประกอบของ Vita and Virginia
ในส่วนของเพลงประกอบ Vita and Virginia นั้น ได้ Isobel Waller-Bridge พี่สาวของ Phoebe Waller-Bridge นักดนตรีและคอมโพสเซอร์ชาวอังกฤษเจ้าของชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy ถึง 11 ครั้ง เธอทำเพลงให้กับ Fleabag ทั้งสองซีซั่น, Black Mirror, The Split ของ BBC One ไปจนถึง Vanity Fair และ Emma.
Chanya Button ผู้กำกับก็ได้พบกับ Isobel ตั้งแต่เริ่มร่างบทเลย เธอบอกว่า “อิโซเบลอยู่ด้วยกันตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์ ฉันพบกับเธอตั้งแต่ร่างสคริปต์ดราฟต์แรก เธออยู่ในกองถ่าย เธออยู่ระหว่างการซ้อมของเรา เธออยู่ด้วยกันในห้องตัดต่อ อิโซเบล ผลงาน และมุมมองของเธอในฐานะศิลปินถูกถักทอลงบนแผ่นฟิล์ม … และแน่นอนว่าตัวซาวด์แทร็กอาจจะทำให้รู้สึกประหลาดใจและคาดไม่ถึง (เพราะมันเป็นซาวด์แทร็กอิเล็กทรอนิกส์: ผู้เขียน) โดยหวังว่าจะเป็นในทางบวก เราไม่คิดว่าเรากำลังทำอะไรที่มันดูเร้าใจ แต่ว่ามันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากๆ สำหรับเรา”
ด้วยความที่ซาวด์แทร็กมันเป็นแบบ Progressive ที่เกือบจะ Punky นั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงตัวละครนั้นๆ ซึ่งมันสะท้อนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เกี่ยวกับผู้หญิงหัวปฏิวัติสองคนที่มีความก้าวหน้าและทำลายขอบเขตในการใช้ชีวิตของพวกเขาทั้งในด้านชีวิตและการทำงาน Chanya ยังบอกอีกว่า “Isobel เป็นอัจฉริยะเลยล่ะ มันวิเศษมากที่ได้ร่วมงานกับเธอ ระหว่างการถ่ายทำ นักแสดงหญิงแต่ละคนจะมีไมค์ที่ติดอยู่ใกล้อกมากๆ จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจในแต่ละฉาก ฉันก็จะส่งไฟล์พวกนั้นไปให้กับเธอ อิซโซ่บอกว่าการเต้นของหัวใจนั้นสามารถสร้างจังหวะให้กับสกอร์เพลงได้ นั่นมันสนุกมากเลยที่ได้ทำอะไรพวกนั้น”
อิโซเบลบอกว่าเธอเป็นคนแบบเวอร์จิเนีย วูล์ฟเลย “ฉันเป็นคนที่ชอบหมกมุ่นแล้วก็มีแนวคิดแบบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่าง Virginia Woolf และ Vita Sackville-West แม้ว่าฉันจะทำไปแล้วก็เถอะ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเหมือนฝันอย่างมาก” เธอยังพูดถึงตัวผู้กำกับอย่าง Chanya Button ว่าเธอเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมากๆ “เธอบอกว่าไม่ควรมีเปียโนอยู่ในสกอร์เพลง หรือแม้กระทั่งอะไรที่มันดูโบร่ำโบราณ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อยู่เหนือกาลเวลา มันเกิดขึ้นตอนนั้น พอๆ กับที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้” เธอยังบอกอีกด้วยว่า มันมีสกอร์เพลงที่เป็นเวอร์ชั่นที่นุ่มนวม และสวยงาม แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกโกรธทุกครั้งที่นึกถึงเวอร์จิเนียและวิตา เหมือนกับว่ามันกำลังสร้างกฎของตัวเอง การตกหลุมรัก และการทำตามสัญชาตญาณของพวกเขา และดนตรีนั้นเป็นสิ่งสะท้อนตัวตน
เพลงประกอบของ Vita & Virginia นั้น อิโซเบลได้แรงบันดาลใจมาจากงานเขียนของเวอร์จิเนียเรื่อง Orlando: A Biography และมีการปรับแต่งเสียงร้องของผู้หญิง เธอบอกว่า “มันเป็นเสียงร้องผู้หญิง แต่ว่าฉันปรับแต่งไม่ให้มันดูเหมือนเสียงผู้หญิง มันจึงเป็นเสียงของ androgynous มันมีทั้งความสวยงาม และมีความเป็นผู้หญิง แต่ก็ดูเป็นผู้ชาย แค่พยายามที่จะทำให้มันเป็นจริงตามสเปรตรัมของความรู้สึกเหล่านั้น”
นอกจากนี้แล้ว ตัวผู้กำกับเองยังบอกอีกด้วยว่า “สิ่งที่ฉันคิดมาเสมอว่า ถ้า Virginia Woolf เขียน Orlando ในปัจจุบันนี้ เธอจะใช้คำสรรพนามอะไร? จะใช้คำว่า ‘They’ รึเปล่า ฉันอยากที่จะรู้ว่าเธอจะใช้ไวยกรณ์กับมันยังไง และมันจะมีผลกระทบต่องานเขียนของเธอมั้ย ฉันคิดว่าเธอสำรวจความเป็น gender-fluid ของตัวละคร แต่มันก็อาจจะผิดต่อมุมมองในปัจจุบัน มันอาจจะผิดเหมือนกับการใช้คำว่า bipolar’ ก็ได้”
source:
- https://www.curvemag.com/film-club/film-collection/editors-film-pick/behind-the-scenes-of-the-film-vita-virginia/
- https://www.curzonblog.com/all-posts/interview-with-chanya-button-director-vita-and-virginia
- https://www.indiewire.com/2019/08/elizabeth-debicki-vita-virginia-score-isobel-waller-bridge-1202168208/
- https://www.theguardian.com/film/2019/jun/27/gemma-arterton-vita-and-virginia-bloomsbury
- https://www.vanityfair.com/hollywood/2018/09/virginia-woolf-vita-sackville-west-movie
- https://www.vogue.co.uk/article/vita-and-virginia-costumes-film
- https://www.whynottheatre.dk/vita-virginia/vv-teaching-materials.pdf
- https://www2.bfi.org.uk/news-opinion/news-bfi/interviews/vita-virginia-interview-chanya-button