วันนี้ The Noize Team จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับศิลปินดาวรุ่งเชื้อสายออสเตรเลีย-ฟิลิปปินส์ ‘Grant Perez’ หรือที่รู้จักกันในนามว่า grentperez เจ้าของผลงานเพลงรักสุดโรแมนติกชวนฝันอย่าง ‘Cherry Wine’ ที่มียอดผู้ฟังบน Spotify มากกว่า 140,000,000 ครั้ง ด้วยพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงาน และแนวคิดในการทำเพลงที่ครอบคลุมหลากหลาย ทำให้เพลงของเขามีสไตล์ที่หลอมรวมผสมผสานความเป็นป็อป, แจ๊ส, บอสซาโนวา รวมไปถึงแนวคลาสสิกด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นศิลปินที่ความสามารถครบเครื่องและน่าจับตามองสุดๆ ในยุคนี้
การเดินทางมาประเทศไทยของ grentperez ครั้งนี้ มาในฐานศิลปินเดี่ยวที่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต PELUPO Festival 2024 ที่พัทยา ประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่นี่ The Noize Magazine จึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ และได้นำสัมภาษณ์สุดพิเศษมาฝากทุกคน
เสียงร้องเคล้าคลอไปกับกีตาร์ จุดเริ่มต้นที่นำพา grentperez ออกมาสู่โลกภายนอก
ก่อน grentperez จะเริ่มเข้าวงการมาอย่างเต็มตัว เขาเคยเป็นเด็กหนุ่ม Grant Perez ในวัย 12 ปีที่เริ่มจับกีตาร์ หลังจากนั้นก็อัดคลิปตัวเองร้องเพลงคัฟเวอร์ ดีดกีตาร์ในห้องนอนเป็นประจำ และปล่อยลง YouTube ทำให้มีผู้คนเข้ามาฟังมากมาย อาจด้วยความบังเอิญ อาจด้วยความตั้งใจ แต่ระยะเวลาระหว่างนั้นทำให้เขาสะสมฐานแฟนเพลงมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยนั่งบนเตียง ก็ลุกยืนขึ้นมา จากที่เคยดีดกีตาร์อยู่ในห้อง ก็ก้าวเท้าออกมาสู่โลกกว้าง จะว่าเป็นความโชคดีที่เจ้าตัวได้โอกาสแสดงความสามารถและผันตัวมาเป็นศิลปินอย่างใจหวัง หรือก็เป็นโชคดีของผู้ฟังด้วยเช่นกัน ที่ได้ค้นพบศิลปินมากความสามารถคนนี้
TNT: รู้สึกอย่างไรบ้าง จากเด็กชายอายุ 12 ที่ร้องเพลงในห้องนอน สู่การออกมาแสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าคนนับพัน นับหมื่น
Grant: ผมรู้สึกเหมือนฝันเลยครับ มันเหลือเชื่อมากเลย ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะมาอยู่ตรงจุดนี้ และเขียนเพลงด้วยตัวเอง ผมว่ามันเป็นอะไรที่วิเศษมากเลยนะ ผมมีความสุขมากที่มีผู้คนมากมายคอยสนับสนุนผมในแบบที่ผมเป็น และเพลงที่ผมทำ นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในตอนนี้เลยครับ
TNT: ครั้งแรกกับการแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทย
Grant: ผมรู้สึกแปลกๆ ครับ (หัวเราะ) มันคือความแปลกใหม่ในแบบที่ผมเองไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะมีคนสนับสนุนผมอยู่ที่นี่ รวมถึงหลายๆ ประเทศในแถบ South East Asia ก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้ผมตื่นเต้นมากๆ ครับ
TNT: หลังจบการแสดง รับรองว่าคุณจะได้แฟนเพลงเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
Grant: (หัวเราะ) ครับ เดี๋ยวไว้เรามารอดูกัน
TNT: ช่วยบอกเล่าขั้นตอนในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงของคุณให้ฟังหน่อย
Grant: โดยปกติแล้ว มันเริ่มจากการดำเนินคอร์ด (Chord Progression) ก่อนครับ ก็จะนำกีตาร์มาเกลาคลอไป หรือไม่ก็ให้คนอื่นมาเล่นเปียโนไปพร้อมกัน จะเป็นประมาณนี้ครับ แล้วก็มาดูว่าเสียงเพลงที่ออกมามันทำให้เรารู้สึกยังไงบ้าง จากนั้นขั้นตอนการเขียนเนื้อร้องถึงตามมา บางครั้งผมก็เขียนเนื้อร้องที่อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือไม่ก็อิงจากหนังที่ได้ดู อย่างเพลงหนึ่งของผมที่ชื่อ ‘Clementine’ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวละครหลักในเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ครับ
TNT: แล้วอย่างอัลบั้ม ‘When We Were Younger’ ที่ปล่อยออกมา เป็นอย่างไรบ้าง
Grant: ขั้นตอนในการทำอัลบั้มนี้ ผมว่ามาจากภาวะเขียนไม่ออก สมองตื้อน่ะครับ (Writer’s Block) ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร แต่หลังจากสถานการณ์โควิด ผมก็มาคิดได้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่บ้าน มันมีช่วงที่ผมต้องจากบ้านไปไกล ไม่ได้อยู่ใกล้กับครอบครัว รวมถึงเพื่อนๆ และสูญเสียช่วงเวลาที่เรามีให้กันและกัน ผมคิดว่ามันสำคัญมากนะที่เราได้มองย้อนกลับไปในอดีตก่อนที่เราจะเติบโตมาอย่างทุกวันนี้ นั่นคงเป็นขั้นตอนในการทำอัลบั้มนี้น่ะครับ ผมก็เขียนเพลงทุกที่ที่เขียนได้ บางเพลงก็แต่งตอนที่อยู่อังกฤษ บางเพลงก็ตอนที่อยู่แอลเอ และบางเพลงก็แต่งตอนที่อยู่ออสเตรเลีย มันเลยเป็นการผสมผสานหลายๆ สิ่งรวมกันครับ
TNT: มันเหมือนการรำลึกความหลังเลยเนอะ การมองย้อนกลับไปในอดีต และเขียนถึงสิ่งที่คุณเคยประสบพบเจอ เหมือนกับการได้สัมผัสรสชาติของความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง
Grant: โอ้ ใช่เลยครับ มันเป็นแบบนั้นเลย คุณสัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นขณะที่คุณกำลังเขียนถึงมัน อย่างวันนี้ ที่จริงผมรู้สึกคิดถึงบ้านนิดหน่อย เพราะตอนที่ซ้อมการแสดง เพลงหนึ่งในอัลบั้มที่ชื่อ ‘Stuck on You’ มันเกี่ยวกับเพื่อนของผม ระหว่างที่ร้อง ผมก็นึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มันเลยทำให้ผมอดคิดถึงบ้านขึ้นมาไม่ได้ ก็นั่นแหละครับ ถือว่าเป็นอะไรที่วิเศษมากเลย
TNT: อย่างที่คุณบอกว่าอัลบั้ม ‘When We Were Younger’ ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์และความทรงจำ คุณใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะปล่อยออกมาให้เราได้ฟังกัน
Grant: ผมคิดว่าน่าจะประมาณ 8 เดือนนะ เกือบๆ ปีครับ มันมีหลายสิ่งที่ต้องทำมาก ทั้งการอัดเสียง บางเอ็มวี (Music Video) ผมก็ถ่ายด้วยตัวเอง ก็ราวๆ 8 เดือนนั่นแหละครับ ที่จริงช่วงปลายปีนี้ ผมก็หวังว่าจะเริ่มปล่อยอัลบั้มเดบิวต์แล้ว เพราะที่จริง When We’re Younger เป็น EP (Extended Play) น่ะครับ ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ (ยิ้ม)
TNT: ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม เพลง ‘Us Without Me’ คือเพลงโปรดฉันเลย
Grant: โอ้นั่นเพลงโปรดคุณเหรอครับ มันเป็นเพลงที่เศร้านะ แสดงว่าคุณชอบเพลงเศร้านะเนี่ย
TNT: ฉันชอบที่เพลงมันมีการใช้เครื่องสายเยอะน่ะ
Grant: หมายถึงไวโอลินเหรอครับ ผมดีใจนะคุณชอบนะ
TNT: เอาล่ะ มาถึงคำถามสำคัญ หากคุณเลือกที่จะทำเพลงร่วมกับศิลปินได้คนหนึ่ง คุณคิดว่าอยากร่วมงานกับใคร
Grant: ถ้าเลือกได้แค่คนเดียว… โห เอ่อ ผมอยากร่วมงานกับ Rex ครับ Rex Orange County น่ะ แต่ผมรู้ว่าเขาคงไม่ได้สนใจโปรเจ็คแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องเลือก ก็คงเป็น Rex ครับ ถ้ามีโอกาสนะ
TNT: ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าเพลง Clementine ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind แล้วมีหนังหรือหนังสือเรื่องไหนอีกไหมที่มอบแรงบันดาลใจให้กับคุณ โดยเฉพาะในอัลบั้มนี้
Grant: สำหรับอัลบั้มนี้เหรอ… ขอคิดก่อนนะครับ ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรเฉพาะเจาะจงนะ มีหนังหลายเรื่องที่ผมโตมากับมัน อย่างเรื่อง Cars กับ 50 First Dates ก็เป็นเรื่องที่ผมรักมากๆ แต่สำหรับอัลบั้มนี้ ผมย้อนกลับไปดูเทปเก่าๆ ช่วงที่ผมอายุสัก 1-3 ขวบ มันทำให้ผมหวนนึกถึงช่วงเวลานั้น อ๋อ แล้วก็เรื่อง Space Jam ครับ คุณรู้จักไหม มันเป็นหนังเกี่ยวกับบาสเกตบอล เป็นเรื่องราวของ Michael Jordan เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รำลึกความหลังเลยแหละ ก็เลยคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยได้มากระหว่างที่ทำเพลงครับ
TNT: ว่าแต่คุณมีแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวในไทยบ้างไหม
Grant: โอ้ หวังว่านะครับ ผมคิดว่าคงจะเป็นปีหน้า ผมพยายามและอยากที่จะจัดคอนเสิร์ต World Tour อย่างในแถบ South East Asia แล้วก็ญี่ปุ่น เกาหลี อะไรประมาณนี้ ส่วนประเทศไทยก็หวังว่าจะเป็นหนึ่งในนั้นครับ (ไขว้นิ้ว)
หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันนะ สุดท้ายแล้ว คุณมีอะไรที่อยากบอกถึงคนที่ชื่นชอบเพลงของคุณไหม หรืออยากฝากอะไรกับแฟนเพลงชาวไทยบ้าง
Grant: ครับ ก็สำหรับแฟนเพลงชาวไทยทุกคน ขอบคุณมากๆ เลยนะครับที่ฟังเพลงของผมและทำให้ผมได้มาอยู่ตรงนี้ ผมอยากมาที่นี่ให้บ่อยขึ้น ไม่แน่ผมอาจจะเขียนเพลงร่วมกับภูมิ (Phum Viphurit) ด้วย ไว้รอติดตามกันนะครับ มันจะออกมาสนุกแน่นอน ผมหวังว่าอย่างนั้นนะ (ยิ้ม)
สัมภาษณ์โดย Poyhooood (ภวังค์หนัง)
ขอขอบคุณ grentperez และ Secret Signals