พื้นที่จำกัดของคนชายขอบ ในยามที่ม่านหมอกแห่งสงครามปกคลุม

| | , ,

บ่อยครั้งที่เรื่องราวของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายในสังคมเรา ไม่เคยได้รับการบอกเล่า หรืออย่างมากที่สุดก็ถูกเล่าผ่านสายตาที่ปราศจากความเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าความมืดมิดได้พานพบกับแสงสว่าง และความแห้งแล้งที่หยั่งรากมายาวนาน ก็ถึงคราวได้ผลิดอกงอกงามบ้างเสียที

พบกับ A League of Their Own ซีรีส์ที่จะพาคุณลงสนามไปกับนักกีฬาทีมเบสบอลหญิงในอเมริกาช่วงยุค 1940s ว่าด้วยเรื่องราวการล่าฝันและยืนหยัดต่อแรงปรารถนาของเหล่าผู้หญิง เควียร์ และคนดำ เสมือนเป็นอ้อมกอดที่โอบรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และคนชายขอบในสังคมไว้ด้วยกัน แม้ประเด็นที่หยิบยกมาพูดถึงจะเข้มข้น แต่มันถูกถ่ายทอดด้วยโทนตลกร้ายแกมยั่วล้อต่อความเป็นจริงตรงหน้า โดยไม่ได้ลดทอนปัญหาและยังคงหนักแน่นในทิศทางของตัวเอง

หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์

World War II (1939-1945): ในยามที่ม่านหมอกแห่งสงครามปกคลุม

ซีรีส์เปิดเรื่องมาด้วยการพาเราย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1943 ช่วงเวลาที่อเมริกาและประเทศทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่าในยามที่สงครามคร่าชีวิตและความฝัน มีเพียงความรื่นรมย์ชั่วครู่เท่านั้นที่เป็นดั่งหนทางรอด การหันหน้าเข้าหาสื่อบันเทิง ศิลปะ และกีฬา อาจเป็นการหลีกหนีจากโลกแห่งความจริงได้ไม่มากก็น้อย สิ่งเหล่านี้จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้

งานศิลปะที่เป็นทั้งผู้เยียวยา และโฆษณาชวนเชื่อ

A League of Their Own - The Wizard of Oz
A League of Their Own – The Wizard of Oz – Prime Video

เมื่อบ้านเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดและรายล้อมด้วยบริบทสงคราม หลายคนอาจคิดว่างานศิลปะ และอุตสาหกรรมภาพยนตร์คงล้มหายตายจาก ยากที่จะเอาตัวรอดได้ เหตุเพราะหลายธุรกิจต่างพากันปิดตัวลงจากพิษเศรษฐกิจโลก แต่น่าประหลาดใจที่มันยังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง บางประเทศเดินหน้าฉายภาพยนตร์ในโรงตามปกติ พื้นที่เหล่านั้นจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่โหยหาที่พึ่งทางใจ ส่งผลให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น แม้แต่ยุคทองของฮอลลีวูด (The Golden Age of Hollywood) ที่รุ่งโรจน์ขีดสุด ก็อยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 และต้นทศวรรษ 1940 คาบเกี่ยวระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งภาพยนตร์ในช่วงเวลานั้นมักถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ โดยมีบริบทของสงครามและความเป็นชาติเคลือบแฝงอยู่ ทำให้บทบาทของ “ภาพยนตร์” จึงเปรียบได้ดั่งผู้เยียวยาและโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ไปในคราวเดียวกัน

ใน A League of Their Own เรามักเห็นภาพยนตร์ในตำนานอย่าง The Wizard of Oz (1939) ปรากฏขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง โดยมีฉากที่ตัวละครเข้าไปนั่งในโรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายเรื่องนี้อยู่ ซึ่งถ้าว่ากันตามปีที่เปิดตัว นี่คือการนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้งอย่างมีนัยสําคัญท่ามกลางสถานการณ์สงคราม เมื่อมันพูดถึงเรื่องราวของเด็กสาวที่พลัดหลงจากเส้นทาง และพยายามหาทางกลับบ้านของตัวเอง เสมือนส่งสารถึงเหล่าทหารที่ออกศึกและครอบครัวที่รอคอยการกลับมาของพวกเขา เป็นการมอบขวัญกำลังใจและความหวังใหม่ให้กับผู้คน หากแต่หนังหนึ่งเรื่องก็สามารถตีความได้หลากหลายไม่รู้จบ เมื่อเรามองผ่านมุมและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ในขณะที่บางคนมองว่า The Wizard of Oz บอกเล่าถึงการแสวงหาสังคมและดินแดนใหม่ที่ดีกว่า มองว่าเด็กสาวอย่างโดโรธีเป็นตัวแทนของความหวัง แต่หนึ่งในตัวละครของเรื่องอย่าง แคลนซ์ มอร์แกน ผู้เติบโตมาท่ามกลางชุมชนคนดำที่ถูกกดทับ กลับมองว่าโดโรธีนั้นร้ายกาจ ใช้ประโยชน์จากคนรอบข้าง และเป็นภาพแทนของการล่าอาณานิคม

A League of Their Own - Bait and Switch - Prime Video
A League of Their Own – Bait and Switch – Prime Video

นอกจากสื่อบันเทิงบนจอฉายแล้ว ในยุคนั้นสื่อสิ่งพิมพ์เองก็ใกล้ชิดกับผู้คนไม่แพ้กัน มันตามติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่รั้วบ้านจนถึงร้านรวง ทั้งหนังสือพิมพ์และหนังสือการ์ตูน ซึ่งหนึ่งในฉากเรียกเสียงหัวเราะของซีรีส์เกี่ยวกับประเด็นนี้ คือตอนที่แคลนซ์วาดภาพการ์ตูนฮีโร่ในจินตนาการของเธอ และเจอเด็กน้อยตอกกลับว่าพวกเขาชอบ Captain America มากกว่า ทำให้เธอแค่นหัวเราะและตอบไปว่า “กัปตันอเมริกาน่ะ เป็นโฆษณาชวนเชื่อ” อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่างานศิลปะนั้นอาจเป็นได้ทั้งผู้เยียวยาและโฆษณาชวนเชื่อ ในขณะที่ความตั้งใจในการวาดการ์ตูนฮีโร่ของแคลนซ์ คือการส่งต่อกำลังใจให้กับสามีที่ไปออกรบ แต่การมีอยู่ของ Captain America ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1941 ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เป็นเรื่องน่าพูดคุยถกเถียงต่อเช่นกัน ว่ามันเป็นเพียงการ์ตูนที่มอบความบันเทิงอย่างเดียวเท่านั้นหรือไม่

อีกหนึ่งความน่าสนใจของตัวละครแคลนซ์ คือถึงแม้เธอจะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่ก็เปรียบเหมือนเป็นจุดเชื่อมโยงที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของคนดำผ่านการวาดภาพการ์ตูน หนึ่งในทีมผู้สร้างซีรีส์อย่าง Will Graham ออกมายืนยันว่าตัวละครนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Jackie Ormes นักวาดการ์ตูนหญิงคนดำคนแรกในอเมริกา ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ The Chicago Defender ที่ถือเป็นแหล่งข่าวสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับชุมชนคนดำในอเมริกา เช่นเดียวกับในซีรีส์ ตัวละครของแคลนซ์เป็นแม่บ้านที่วาดภาพการ์ตูนเป็นงานอดิเรก ไม่เคยมีใครได้เห็นฝีมืออันเก่งกาจของเธอ จนกระทั่งเพื่อนสนิทอย่างแม็กซ์เอ่ยชื่นชมผลงาน และแนะนำให้ลองส่งไปที่ The Chicago Defender พื้นที่ที่เหล่าคนดำจะได้เปล่งเสียงและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างแท้จริง

ประวัติศาสตร์ของ “พิซซ่า” ที่เป็นมากกว่าแค่อาหาร

A League of Their Own - Pizza - Prime Video
A League of Their Own – Pizza – Prime Video

จะเรียกว่า “พิซซ่า” เป็นแขกรับเชิญสำคัญของซีรีส์เลยก็ว่าได้ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาหารแปลกตาพร้อมรสชาติแปลกใหม่เข้ามาในอเมริกามากขึ้น จากการที่เหล่าทหารกลับบ้านหลังออกศึกและการอพยพของคนต่างถิ่น ซึ่งพิซซ่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อปีค.ศ. 1943 พิซซ่าในอเมริกาถือเป็นเมนูยอดนิยมและเป็นยุครุ่งเรืองสุดๆ มีร้านพิซซ่าเปิดใหม่ร้านแรกในชิคาโก ซึ่งเป็นช่วงเวลาและสถานที่เดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ ทำให้มีฉากที่ตัวละครพูดคุยกันถึงพิซซ่าในร้านอย่างจริงจัง มันโด่งดังชนิดที่ว่า ณ ปัจจุบันนี้มีร้านพิซซ่าในนิวยอร์กตั้งชื่อว่า 1943 Pizza Bar เพื่อเป็นการระลึกถึงความนิยมขีดสุดในปีนั้น

แต่พิซซ่าในบริบทของซีรีส์นี้ ไม่เพียงบอกเล่าถึงความนิยมของอาหารท่ามกลางสงครามเท่านั้น เมื่อมันถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ของตัวละครระหว่างบทสนทนา ในฉากหนึ่งของซีรีส์ แม็กซ์ถามคาร์สันถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อสามีและเกรต้า เพื่อนร่วมทีมเบสบอลที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

“กับชาร์ลี มันเหมือนขนมปังอุ่นกับเนยน่ะ
แต่กับเกรต้า… เธอเคยกินพิซซ่าไหม?”

เมื่อมองย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นที่พิซซ่าเพิ่งเข้ามาในอเมริกาไม่นาน หลายคนไม่เคยมีโอกาสได้ลองลิ้มรสและสัมผัส การที่คาร์สันมองความสัมพันธ์ที่มีต่อสามีเป็นเหมือนขนมปังอุ่น และเปรียบความสัมพันธ์ของเธอกับเกรต้าเป็นดั่งพิซซ่า อาจหมายความได้ว่าการแต่งงานมีสามีสำหรับผู้หญิงในยุคสมัยนั้น บางทีก็เหมือนกับขนมปังอุ่นในยามเช้า กินเพื่อให้อิ่มท้อง อยู่ได้ หากแต่รสชาติที่โหยหาอาจเป็นพิซซ่ามากกว่า

There’s No Place Like Home — พื้นที่จำกัดของคนชายขอบ 

ยามที่โลกหันเหความสนใจและให้ความสำคัญกับสงคราม อาวุธ และการสู้รบของเหล่าทหาร ยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องอยู่อย่างจำทน ฟันฝ่ากับสนามรบของตัวเองในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้อพยพ คนดำ หรือเควียร์ แน่นอนว่าพื้นที่ของคนชายขอบเหล่านี้จากที่เคยคับแคบอยู่แล้ว ยิ่งถูกบีบและผลักไสจนแทบไร้ที่ยืน ทำให้บางครั้งการถูกเมินเฉยต่อการมีอยู่และลบเลือนตัวตนของพวกเขา อาจเจ็บปวดสาหัสไม่ต่างกับการถูกเฆี่ยนตีที่ร่างกายเสียด้วยซ้ำ

A League of Their Own - Prime Video
A League of Their Own – Prime Video

บทบาททางเพศของผู้หญิงตามค่านิยมสมัยนั้น

ในยุคสมัยที่ค่านิยมของสังคมมอบบทบาททางเพศของผู้หญิงให้เป็นเพียงภรรยาของสามี แม่ของลูก และแม่บ้านคอยทำอาหาร ทำความสะอาด ผู้หญิงหลายคนจำต้องออกเรือนและทิ้งชีวิตที่ใฝ่ฝัน เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม หากแต่การมาถึงของสงครามทำให้ผู้ชายหลายคนถูกเรียกตัวไปเป็นทหารออกศึก บทบาททางเพศของผู้หญิงจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ตำแหน่งและหน้าที่ในการทำงานตามโรงงานต่างๆ ตกเป็นของผู้หญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งฉากหนึ่งในซีรีส์ก็มีการเปิดรับสมัครให้ผู้หญิงเข้าไปทำงานในโรงงานช่วงสงคราม ทำให้ได้เห็นตัวละครแม็กซ์และแคลนซ์จับพลัดจับผลูเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ทั้งตอกหมุดและทำอีกสารพัดหน้าที่ ชวนให้นึกถึงภาพผู้หญิงสวมชุดจั๊มสูทสีน้ำเงิน พร้อมโพกหัวด้วยผ้าสีแดงลายจุด ถลกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจในโปสเตอร์ Rosie the Riveter (โรซี่คนตอกหมุด) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ We Can Do It! ที่ปล่อยออกมาในปี ค.ศ. 1943 ซึ่งครั้งหนึ่งถูกใช้เป็นแคมเปญรณรงค์ให้ผู้หญิงเข้าทำงานในโรงงาน และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ไอคอนเฟมินิสต์ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ยืนหยัดของผู้หญิงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรียกร้องสิทธิ์ในการทำงานหลังจากนั้น

เช่นเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1943 ได้มีการก่อตั้งลีกเบสบอลหญิงมืออาชีพในอเมริกาอย่าง All-American Girls Professional Baseball League (AAGPBL) ขึ้นมา เพื่อรักษาให้กีฬาชนิดนี้อยู่รอดได้ในยามที่ผู้ชายออกศึกสงคราม มีผู้หญิงหลายคนเดินทางมาคัดตัวเพื่อเข้าร่วมแข่งขัน ในซีรีส์เราจึงได้เห็น The Peaches ทีมหญิงแกร่งที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมย์เบลล์และคาร์สันที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว หรือเพื่อนซี้ล่าฝันอย่างโจและเกรต้า รวมถึงลูเป้และเอสตี้ ชาวคิวบาที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา

ความเป็นอื่นของผู้อพยพและคนดำในอเมริกา

ซีรีส์เปิดฉากสู่การคัดเลือกนักกีฬาลีกเบสบอลหญิง พร้อมกับการปรากฏตัวของแม็กซ์ เขาเป็นผู้ขว้างบอลฝีมือดีที่หาตัวจับได้ยาก หากแต่อุปสรรคเดียวของการเข้าร่วมลีกคือการเป็น “คนดำ” ที่ไม่ได้รับโอกาสแสดงความสามารถ หรือแม้แต่ลงสมัครเสียด้วยซ้ำ ตลอดเรื่องเราจึงได้เห็นสังคมแวดวงกีฬาระหว่างคนดำและคนขาวที่แยกจากกันอย่างชัดเจน เมื่อไม่อาจเดินตามความฝัน ครั้นจะสมัครงานในโรงงานที่ประกาศรับ ก็ยังไม่วายถูกกีดกันจากคนขาวอยู่ดี ขณะที่แม่ของแม็กซ์มองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะออกไปสมัครงานข้างนอก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่สงครามจบลง เหล่าทหารชายคนขาวจะกลับมาทวงสิทธิ์และหน้าที่การงานตรงนั้น ส่วนผู้หญิงโดยเฉพาะคนดำก็ต้องกลับเข้าครัวอย่างที่เคย ทำให้การเปิดร้านทำผมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ เพราะมันคือทรัพย์สินและความมั่นคงเดียวที่พวกเขาจะยึดเหนี่ยวไว้ได้ในประเทศที่คนดำถูกผลักไสให้แปลกแยกจากสังคม

อีกหนึ่งฉากในซีรีส์ที่แม้จะเรียกเสียงหัวเราะให้กับใครหลายคน แต่ก็เจือปนไปด้วยความขมขื่น เมื่อแคลนซ์และแม็กซ์ต้องไปตลาดของคนขาวเพื่อหาซื้อ “ปู” มาทำอาหารในงานเลี้ยง ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ก็ถูกสายตาเหยียดหยามจากคนรอบข้างมองมา และไม่ว่าจะเรียกคนขายสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ แม้ในตอนนั้นคนดำสามารถเข้าไปซื้อของภายในร้านค้าร่วมกับคนขาวได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ตาม

“ฉันมาจากที่ไกลมากเพื่อมาเล่นที่นี่
แม้พวกเธอจะไม่สนใจฉัน และทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผี”

ประโยคสั้นๆ ของตัวละครเอสตี้จากฉากเรียกขวัญกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมทีม บอกเล่าความเป็นอื่นของผู้อพยพและคนดำในอเมริกาได้ชัดเจนมากที่สุด เราได้เห็นการนำเสนอภาพแทนของ “ผู้อพยพ” ผ่านตัวละครเอสตี้และลูเป้ แม้ทั้งสองคนไม่ได้ถูกกีดกันจากการเข้าร่วมลีกเบสบอลหญิง แต่สถานะทางสังคมของพวกเขาก็ไม่ได้เทียมเท่ากับคนอเมริกัน มีการเลือกสัมภาษณ์นักกีฬาชาวคิวบาโดยเฉพาะเจาะจง ราวกับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ แต่เพราะกำแพงภาษาที่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร ทำให้เธอถูกเมินเฉยไปโดยปริยาย ไม่ต่างกับภูติผีที่ไร้ตัวตน

เมื่อสังคมลงทัณฑ์ เพียงเพราะฉันเป็น “เควียร์”

A League of Their Own - Black Queer People - Prime Video
A League of Their Own – Prime Video

ในช่วงเวลาที่ความหลากหลายทางเพศนั้นยังไม่ถูกพูดถึงหรือทำความเข้าใจกันในวงกว้าง มันได้สร้างบาดแผลให้กับคนในชุมชนมากมาย พวกเขาทั้งหลายถูก “ลงทัณฑ์” จากทั้งครอบครัวและสังคม ซึ่งหนึ่งในตัวละครที่เป็นตัวอย่างชัดเจนของซีรีส์เรื่องนี้คือ “เบิร์ต” น้าของแม็กซ์ เขาถูกครอบครัวผลักไส เพียงเพราะมีเพศวิถีต่างจากบรรทัดฐานของสังคม ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายคนยังมองว่าการเป็นเควียร์คือโรคติดต่อ จนมีการล่ารายชื่อของคนในชุมชนเผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งจับขังตารางราวกับเป็นอาชญากร ทำให้ตอนนั้นมีการใช้รหัสลับถามถึงรสนิยมทางเพศแบบที่รู้กันเฉพาะกลุ่มว่า “Are you a friend of Dorothy? (คุณเป็นเพื่อนของโดโรธีเหรอ?)” อ้างอิงจากตัวละครโดโรธีและเพื่อนที่มีความหลากหลายของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Wizard of Oz ที่เข้ามามีบทบาทให้เห็นอยู่ตลอดเรื่อง

หนึ่งในฉากสำคัญของซีรีส์ คือฉากเต้นรำในบาร์เควียร์และบ้านของเบิร์ตที่เล่าขนานไปพร้อมกัน เราได้เห็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมีอิสระอยู่ท่ามกลางพื้นที่ปลอดภัยของพวกเขา แม้พื้นที่เหล่านั้นจะคับแคบและอยู่ในมุมมืดก็ตามที แต่ในยุคสมัยที่สังคมภายนอกยังคงตีตรา ซีรีส์ก็ฉายให้เห็นภาพของตำรวจที่บุกรุกเข้ามาในบาร์และทุบตีกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างทารุณ และการที่ตัวละครคาร์สันและเกรต้าวิ่งหนีเข้าโรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายเรื่อง The Wizard of Oz พร้อมกับเพลงประกอบที่ดังขึ้นว่า “There’s No Place Like Home” คล้ายเป็นการยั่วล้อและตัดพ้อต่อสังคมสมัยนั้นที่ทำให้คนในชุมชนเควียร์ไม่มีที่ยืน ราวกับว่าไม่มีที่ไหนจะเป็นบ้านให้พักพิงอิงแอบสำหรับพวกเขาได้เลย

เชื่อเหลือเกินว่า A League of Their Own คือซีรีส์ที่นำเสนอให้เห็นถึงเรื่องราวของคนชายขอบที่มีอยู่หลากหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้อพยพ คนดำ หรือเควียร์ ที่ต้องเผชิญจากการถูกกดทับและผลักไสจากสังคม นี่จะเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยและอ้อมกอดที่โอบรับเราทุกคนไว้อย่างอ่อนโยน

สามารถรับชม A League of Their Own ได้ทาง Prime Video

A League of Their Own - Official Trailer | Prime Video

Sources:

  • https://www.britannica.com/topic/Rosie-the-Riveter
  • https://www.deseret.com/1989/7/21/18816665/1939-the-peak-of-hollywood-s-golden-age
  • https://www.seriouseats.com/a-slice-of-heaven-a-history-of-pizza-in-america
  • https://www.thepopverse.com/a-league-of-their-own-clance-morgan-jackie-ormes
Previous

House of the Dragon กับความเควียร์ที่ถูกซ่อนอยู่ภายใน

กลับมาอีกครั้งกับ George Clooney และ Julia Roberts ใน Ticket to Paradise เข้าฉาย 6 ตุลาคมนี้

Next