As a queer people เมื่อได้รับชมซีรีส์ House of the Dragon แล้วก็พบว่ามันเต็มไปด้วยความเควียร์ที่ผู้สร้างต้องการจะสอดแทรกเข้ามาให้พวกเราได้รับชมกัน ต่อให้ไม่เคยดู Game of Thrones หรืออ่านหนังสือ Fire & Blood ก็สามารถทำความเข้าใจและสนุกไปกับเรื่องราวของซีรีส์ชุดนี้ได้
แล้วความเควียร์ที่เขาสอดแทรกเข้ามาล่ะ มันคืออะไรกันแน่? ถ้าเกิดมองแบบผ่านๆ เลย ก็จะเห็นในความสัมพันธ์ระหว่าง Rheanyra Targeryan และ Alicent Hightower ที่ชัดเจนอย่างมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกับตัวละครนี้ ที่ว่าทั้งคู่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ซับซ้อน และดูมากเกินกว่าเพื่อนกัน แม้ว่าทั้ง เรนีร่า ทาร์แกเรียน และ อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ จะไม่เคยพูดอะไรออกมา เพราะด้วยฐานะและตำแหน่งของทั้งคู่ ทำให้อดคิดไม่ได้ที่จะมองว่าผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้เขาใส่ queer subtext เข้ามา
คำว่า Queer ในบริบทที่เราคุ้นเคยกันก็คือเควียร์ในเรื่องของเพศ ซึ่งความหมายของคำว่าเควียร์นั้น ก็สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายประเด็น นอกเหนือจากเรื่องเพศเท่านั้น อ้างอิงจาก ดร.นรุตม์ ศุภวรรธนะกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้บอกเอาไว้ว่า “ส่วนตัวจะใช้เควียร์เพื่อสะท้อนให้สังคมเห็นว่า จริง ๆ แล้วการที่เราถูกสังคมกีดกันและทำให้แปลกแยก มันนำไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง แต่บางคนก็ใช้ความเป็นเควียร์ในการกบฏ ในการแหกกฎเหมือนกัน ซึ่งเราจะเห็นในการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ อย่างใน pride parade จะเห็นว่า หลายคนใช้การแต่งตัวที่หลุดโลก แปลกไปเลย เพราะเป็นยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนไหวเพื่อให้คนมองเห็นถึงการมีอยู่การมีตัวตน ในที่นี้ความเป็นเควียร์เลยเป็น ความแปลกประหลาด ความกบฏ ความออกจากกรอบ”
เมื่อนำมาเทียบกับใน House of the Dragon เราก็สามารถหยิบเอาคำนิยามข้างต้นมาใช้ควบคู่กันไปได้ รวมไปถึงยังสามารถที่จะชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า มันแฝง queer subtext อยู่ในเรื่องขนาดไหน และหลังจากได้ร่วมพูดคุยกับคอมมูนิตี้ #บ้านมังกร บนทวิตเตอร์ และเพื่อนๆ ที่ดูเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็มองเห็นแบบเดียวกันว่าทั้งเรนีร่าและอลิเซนต์ เต็มไปด้วยความเกย์ที่แผ่ออกมา มันไม่ใช่แค่เพียงมุมของผู้ชมที่มองเห็นเท่านั้น แต่นักแสดงนำอย่าง Emily Carey ผู้รับบท Alicent Hightower ก็เคยได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้เกี่ยวกับการมองตัวละครของเขาว่าเขามองมันผ่านเลนส์ของ Queer woman อีกด้วย แล้วเราจะมองในมุมอื่นได้อย่างไร
เมื่อมองผ่าน queer gaze อะไรๆ ก็ดูจะชัดกว่าเดิม
แม้ว่าในโลกทุกวันนี้ เราจะเห็นการมองสิ่งต่างๆ ผ่าน Hetero media gaze เป็นส่วนใหญ่ ที่จะเป็นการสร้าง พูด และบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของบุคคลตรงเพศ (cis straight) แค่เพียงมุมเดียว แต่สำหรับ ‘Queer gaze’ นั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ หลายๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเควียร์เกซไม่มีอยู่จริง ซึ่งเควียร์เกซก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า คนในชุมชน LGBTQIAN+ สร้างและมองเห็นผลงานศิลปะเหล่านั้นอย่างไร และเป็นการท้าทายความคิดแบบไบนารี่ ของการมีอยู่และเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านบทสนทนาในหลายๆ มุม แทนที่จะเป็นการมองแบบ male gaze หรือ female gaze อย่างเดียว ที่มีบริบทเป็นเรื่องราวของเพศตรงข้ามตลอดเวลา
สำหรับในซีรีส์ House of the Dragon นั้น อย่างที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ข้างต้นว่าตัวนักแสดงมองเห็นตัวละครของเขาผ่านเลนส์ของ queer woman แล้วถ้าหากเรา ในฐานะผู้ชม จะลองหยิบแว่นเควียร์เกซขึ้นมาสวม ก็อาจจะทำให้เรามองเห็นอะไรหลายๆ อย่างชัดขึ้น โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักในวัยเด็กทั้งคู่
Episode 1
ในเอพิโสดแรกของ House of the Dragon ที่เรนีร่าขี่มังกรแล้วอลิเซนต์ก็ยืนรออยู่ด้านล่างบนรถม้า บทสนทนาของสองคนนี้มีความใกล้ชิดเป็นอย่างมาก แม้ว่าตำแหน่งและฐานะของพวกเขาทั้งคู่จะแตกต่างกันก็ตาม เพราะหลังจากที่เรนีร่าพูดกลายๆ ว่าจะชวนให้อลิเซนต์ขึ้นขี่มังกรไปกับเธอ แต่อลิเซนต์บอกปัดว่าเธอพอใจในที่ที่ตัวเองอยู่ ถึงแม้ว่า ลึกๆ แล้ว เธอจะอยากหรือไม่อยากขึ้นขี่หลังมังกรกับเรนีร่า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ นั่นเป็นเพราะความแตกต่างของเธอทั้งคู่ และการอยู่ภายใต้การเมืองที่อลิเซนต์ต้องวางตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้ว พ่อของเธอก็จะถูกมองไม่ดีด้วย
หรือจะเป็นตอนที่เรนีร่านอนตักอลิเซนต์เพื่อติวหนังสือด้วยกัน อลิเซนต์ก็ถามเรนีร่าถึงเรื่องราวในหนังสือเกี่ยวกับเจ้าหญิงไนมีเรียเดินทางมาถึงดอร์นและเลือกใครเป็นสามี แล้วเรนีร่าก็แสดงท่าทีถึงความหงุดหงิดใจอยู่ลึกๆ พร้อมกับบอกว่า อยากที่จะขี่มังกรไปกับอลิเซนต์ เที่ยวชมสิ่งมหัศจรรย์เหนือทะเลแคบ กินแต่เค้กเป็นอาหาร แล้วอลิเซนต์ก็ดูจะเป็นห่วงในฐานะของเรนีร่า แต่เรนีร่าบอกว่า เธอพอใจกับตำแหน่งนี้ มันก็สบายดีอยู่ หลังจากที่เรนีร่าตอบ อลิเซนต์ก็ลุกหนีทันที เห็นได้ชัดว่าอลิเซนต์รู้สึกโมโหกับคำตอบนั้น เพราะสิ่งที่เธอสังเกตเห็นก็คือสิ่งที่เรนีร่ากังวล แต่อีกฝ่ายก็ยังคงทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ อยู่เหมือนเคย ส่วนเรนีร่า หลังจากอลิเซนต์ลุกไป เธอก็รีบตามไปเล่าให้อลิเซนต์ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็ยิ้มด้วยสีหน้าของผู้ชนะ หลังจากที่เห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย แล้วทั้งคู่ก็เดินควงแขนกลับบ้านกันไป
รวมไปถึงตอนที่อลิเซนต์ช่วยเรนีร่าแต่งตัว ในวันรับตำแหน่งรัชทายาทของอีกฝ่าย และนั่นก็เหมือนจะเป็นช่วงเวลาเกือบสุดท้าย ที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดกัน ในฐานะเดิมของพวกเขา และไม่มีกำแพงใดขวางกั้นระหว่างพวกเขาเหมือนเช่นเคย
Episode 2
เมื่อเราไปกันต่อในเอพิโสดที่สอง ซึ่งจะเป็นตอนที่อลิเซนต์ทำหน้าที่เป็นกาวประสานใจให้กับบ้านทาร์แกเรียน ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่อึดอัดของเธอ เพราะเรนีร่าคือเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ และตัวของเรนีร่าเองก็กังวลถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์ที่แม่ของเรนีร่าเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์นั้น อลิเซนต์ หญิงสาวผู้ศรัทธาในความเชื่อและความเชื่อก็ทำให้เธอใกล้ชิดกับแม่ของเธอมากยิ่งขึ้น ก็ได้ชวนให้เรนีร่าลงมานั่งภาวนาด้วยกัน และเรนีร่าก็ทำตาม แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจกับสิ่งที่อลิเซนต์ทำก็ตาม Emily Carey นักแสดงผู้รับบทอลิเซนต์วัยเด็ก ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านพอดแคสต์ House of the Dragon ของ HBO เอาไว้ว่า “ฉันคิดว่าเธอเพียงต้องการให้เรนีรารู้สึกปลอดภัยในโลกที่เธอไม่เคยรู้สึกถึงความปลอดภัยจริงๆ และทางเดียวที่อลิเซนต์จะสามารถสื่อสารกับเรนีราได้ นั่นก็คือผ่านความศรัทธาของเธอ” แล้วก็ยังบอกต่อด้วยว่า “ในขณะที่อลิเซนต์ทำไปเพื่อเหล่าทวยเทพ แต่เรนีรากลับไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก ที่เธอคุกเข่าก็เพื่ออลิเซนต์เท่านั้น”
รวมไปถึงฉากที่วิเซริสประกาศแต่งงานภายในอนุสภาต่อหน้าเรนีร่า และการที่เธอได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองต้องมาแต่งงานกับพ่อของเธอ นั่นก็ยิ่งทำให้เธอโมโหเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะโมโหพ่อหรือเพื่อน เพราะไม่มีใครบอกเธอเลยสักคน มันยิ่งเหมือนกับเธอโดนหักหลังจากคนที่ตัวเองรัก ส่วนอลิเซนต์ก็ไม่รู้มาก่อนเช่นกัน หลังจากที่ประกาศแต่งงานแล้ว เรนีร่าก็เดินจ้ำออกจากห้องประชุมไปด้วยอารมณ์โมโห ในซีรีส์ก็จะจบลงแค่นั้น แต่มันมีฉากที่ถูกตัดออกไปด้วย ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นทันที ทำให้เราได้เห็นว่า เรนีร่าเดินออกจากห้องประชุมไปที่สวน และอลิเซนต์ก็รีบเดินตามออกไป ภาพที่ปล่อยออกมาจะเป็นตอนที่เรนีร่าพูดตะโกนทั้งน้ำตาใส่อลิเซนต์ ส่วนภาพอีกชุดหนึ่งที่ฉากนั้นถูกตัดออกไป ก็จะเป็นภาพงานแต่งงานของอลิเซนต์ ที่เรนีร่าช่วยอลิเซนต์แต่งตัวในงานแต่งงาน เช่นเดียวกับตอนที่อลิเซนต์ช่วยเรนีร่าแต่งตัวในวันแต่งตั้งรัชทายาท ตัวของ Greg Yaitanes ผู้กำกับในเอพิโสดที่สองก็ได้คอนเฟิร์มผ่านอินสตาแกรมสตอรี่ของเขาเกี่ยวกับฉากนี้ว่าฉากนี้คือฉากที่สะท้อนกลับของซีนเดียวกันในเอพิโสดแรกที่อลิเซนต์แต่งตัวให้เรนีร่า ซึ่งมันเป็นภาพสะท้อนกลับที่ปวดใจอย่างมาก
Episode 3
สำหรับเอพิโสดที่สาม จะเป็นตอนที่พวกเขาเดินทางไปล่ากวางในป่าด้วยกัน เพื่อฉลองวันเกิดให้กับเอกอน ลูกชายของอลิเซนต์และวิเซริส ในงานเลีร้ยงวันเกิดในพระราชวัง วิเซริสถามหาเรนีร่า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหญิงไปอยู่ที่ไหน มีแค่เพียงอลิเซนต์ที่พาตัวเองที่ท้องโตออกมาภายนอก ไปยังสวนที่พวกเขาเคยใช้เวลาร่วมกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็พบเรนีร่าอยู่ตรงนั้น กำลังนั่งอ่านหนังสือ พร้อมกับนักดนตรีที่เล่นเพลงเดิมวนไปวนมา อลิเซนต์จึงออกมาตามเรนีร่า บอกว่าจะไปล่าสัตว์กันแล้ว และด้วยน้ำเสียงของเรนีร่าที่แฝงไปด้วยความประชดประชัน เพราะระยะเวลาจากเอพิโสดที่สองมายังสามนั้น ก็ใช้เวลากว่าสองปีหรืออาจจะถึงสามปีด้วยซ้ำ
ถ้ามองผ่านมุมมอง platonic ก็อาจจะเข้าใจได้ว่าเรนีร่ายังคงโกรธและน้อยใจ ทั้งพ่อของเธอเอง และอลิเซนต์ เพื่อนสนิทที่สุดที่กลายเป็นควีนไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าใคร ก็ให้ความสนใจกับ เด็กชายเอกอน วัย 2 ขวบ และเริ่มห่างเหินจากเธอไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ถึงกระนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่อลิเซนต์มอบให้เรนีร่าก็ยังคงหนักแน่นและเป็นเช่นเดิม อย่างตอนที่นั่งล้อมวงดื่มน้ำชากลางป่าด้วยกัน ก็มีท่านหญิงเคร่า ท่านหญิงเรดไวน์ พูดกระแนะกระแหนเรนีร่า แต่อลิเซนต์ก็เป็นคนปกป้องอยู่ในทุกๆ ครั้ง หรือแม้กระทั่งในช่วงที่วิเซริสโกรธลูกสาวของเขา ที่ทำตัวดื้อดึงและหายตัวไป อลิเซนต์ก็ยังเป็นคนเข้าไปพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ และถึงแม้ว่าเธอจะเรียกเขาว่า my love (ที่รัก) ก็ตาม แต่มันไม่ได้มีความหมายของคำว่ารักแฝงอยู่ในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเรนีร่ากลับมาพร้อมกับหมูป่า เธอก็มองหาอีกฝ่าย แม้ว่าจะอุ้มลูกชายคนโตอยู่ก็ตาม
ซึ่งตัวของนักแสดงอย่าง Emily Carey ก็ได้บอกเอาไว้ในพอดแคสต์ House of the Dragon ของ HBO เอาไว้ว่า “เราชอบบอกว่าพวกเขามีความรักให้กันมาก แต่พวกเขาไม่เคย in love กันเลยตลอดทั้งซีรีส์ มันมีความผูกพัน มันมีปมที่ทั้งคู่มีร่วมกัน ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ Alicent มีร่วมกับ Rhaenyra นะ มันออกจะแปลกๆ หน่อย แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ เธอสังเกตเห็นถึงปฏิกิริยาเดียวกันกับพ่อเธอในตอนที่เขาเสียแม่ของเธอไปในตัวของ Viserys ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเข้าหาเขาด้วยความอ่อนโยน ความเข้าใจ และเห็นใจ” และเธอก็เสริมด้วยว่า “ฉันไม่ได้บอกนะว่าเธอเห็นเขาเป็นพ่อ ต้องขีดเส้นใต้ย้ำ มันประหลาด”
Episode 4
ในเอพิโสดที่สี่ เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เรนีร่าใช้เวลาไปกับการเยือนดินแดนต่างๆ เพื่อเลือกคู่ครองตามคำสั่งของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่แก่ยิ่งกว่าพ่อของตัวเอง หรือเด็กอายุสิบกว่าขวบ ที่มาต่อแถวเนือตัวเป็นคู่ครองของเธอ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ยกเลิกการเยือนดินแดนต่างๆ ไปกลางคัน แน่นอนว่านั่นทำให้พ่อของเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก ประจวบกับท่านอาคนสนิทของเธอกลับมาในเมืองอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้มีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงขึ้นมา และเมื่อเรนีร่าเดินเข้ามาภายในวงสนทนาที่มีวิเซริส เดม่อน และอลิเซนต์อยู่ อลิเซนต์ก็มองไปหาแวบหนึ่ง แล้วพอเรนีร่าเอ่ยปากพูดชม วิเซริสก็รู้สึกเหมือนโดนขัดมู้ด ท่ามกลางความอัดอึดอัดนี้ อลิเซนต์ก็เอ่ยชวนไปดูงานศิลปะ แต่ก็ไม่วายโดนวิเซริสพูดหักหน้า จนเรนีร่าเอ่ยปากบอกว่าเธออยากดูงานศิลปะ แล้วก็ปลีกตัวไปนั่งคนเดียว ไม่นาน อลิเซนต์ก็เดินตามออกมา ก่อนที่เหล่าชายหนุ่มจะหันกลับไปพูดคุยกันเหมือนเดิม
อลิเซนต์สังเกตเห็นเรนีร่าในทุกๆ อิริยาบถ และรู้ว่างานเลือกคู่ครองของอีกฝ่าย ก็เป็นไปอย่างน่าเหนื่อยหน่ายใจ เธอก็เลยพูดปลอบใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่สื่อ จนเรนีร่าเอ่ยปากพูดออกมาโดยไม่ทันได้คิดถึงสถานการณ์ที่อลิเซนต์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ว่ามันไม่ต่างจากเธอเลย เพียงแต่เธอมีโอกาสได้เลือก ถึงแม้ว่าวิเซริสจะโกรธเรนีร่าเป็นอย่างมาก แต่อลิเซนต์ก็บอกว่า เธอดีใจที่เรนีร่ากลับมาบ้าน เพราะว่าอลิเซนต์พบว่าตอนนี้เธอมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน และยังอยากที่จะเป็นแค่เพียงเลดี้อลิเซนต์เหมือนเดิม เนื่องจากสถานะที่เปลี่ยนไป ทำให้ใครต่อใครมองเห็นเธอเป็นราชินีอยู่ตลอดเวลา เรนีร่าก็บอกว่าเธอเองก็คิดถึงอลิเซนต์เช่นกัน ในฉากนี้ แฟนๆ หลายๆ คนก็สังเกตเห็นแหวนที่พวกเขาสวม เป็นแหวนแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนหัวแหวนเท่านั้น นี่อาจจะเป็นเครื่องประดับที่บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาว่ายังคงสนิทกันเช่นเดิมก็ได้
หรือจะเป็นตอนที่อลิเซนต์ขอให้เรนีร่าไปพบที่สวนในช่วงเวลายามเช้า ด้วยชุดเดิมที่สวมเมื่อวานในงานเลี้ยง เพื่อสอบถามความจริงที่เกิดขึ้น อลิเซนต์รู้สึกแตกสลาย โดนหักหลัง และเต็มไปด้วยความเสียใจในตัวของอีกฝ่าย อีกทั้งเธอยังพูดถึงธรรมเนียมที่แปลกประหลาดของทาร์แกเรียนที่จะมีความเกี่ยวพันกันภายในสายเลือด ซึ่งสิ่งที่เรนีร่าทำก็คือการเรียกอีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม ทั้ง ฝ่าบาท (Your Grace) ทั้ง พี่ข้า (Sister) ซึ่งอลิเซนต์ก็ได้บอกเหตุผลว่าเธออยากรู้ เป็นเพราะว่าเธออยากที่จะช่วยเรนีร่า และเธอก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่านั่นอาจจะเป็นคำโกหกที่เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจก็ตาม
มองผ่านมุมมองเควียร์ หรือแค่ขี้ชิป?
จากคำถามที่จั่วหัวไปแล้วนั้นว่า House of the Dragon มันแฝงไปด้วยความเควียร์ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างจงใจจริงๆ หรือแค่แฟนซีรีส์ที่ขี้ชิปแล้วบอกว่าสองคนนี้รักกัน แต่เป็นความรักแบบขมๆ ก็อาจจะต้องมองให้ลึกและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวละครและนักแสดงต้องการจะสื่อสารออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งนักแสดงนำทั้งสี่คน ในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ ก็ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของเรนีร่าและอลิเซนต์เอาไว้อยู่บ่อยครั้ง
จากบทสัมภาษณ์ของ Milly Alcock ผู้รับบท Rhaenyra Targaryen ในวัยเด็ก ก็ได้ให้สัมภาษณ์แบบติดตลกกับทั้ง Insider, Popsugar และ Metacritic ว่า “ฉันรักเอมิลี่จริงๆ นะ แล้วฉันก็คิดว่ามัน (ความสัมพันธ์ของเรนีร่าและอลิเซนต์) ใช่เลยล่ะ”
ส่วน Emily Carey ผู้รับบท Alicent Hightower ในวัยเด็ก ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ Insider ว่า “มันคือบางสิ่งที่เราหยิบขึ้นมาพูดคุยกับ Clare Kilner หนึ่งในผู้กำกับที่พวกเราร่วมงานด้วยในพาร์ทของตัวละครวัยเด็ก” แล้วก็บอกเสริมด้วยว่า “มันคือสิ่งที่ฉันให้ความสำคัญโดยทันที ในขณะที่ฉันอ่านสคริปต์ในฐานะของเควียร์”
ในขณะที่เอมิลี่ได้อ่านบท ก็รู้สึกว่าเรนีร่าและอลิเซนต์ “ก็รักกันหน่อยๆ” ดังนั้น เขาก็เลยแสดงไปด้วยไอเดียที่ความทั้งคู่มีอารมณ์ที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับเพื่อนสนิทของพวกเขา “ฉันคิดว่าผู้หญิงคนไหนๆ ก็สามารถนึกถึงเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดที่พวกเขามีตอนอายุ 14 ปีได้ มันคือความสัมพันธ์และความสนิทสนมที่ไม่เหมือนใคร มันเหมือนคุณยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่าง platonic และ romantic”
เอมิลี่ยังพูดถึงมิลลี่ที่พวกเขาต้องแสดงร่วมฉากกันบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน “มิลลี่พูดตลอดเลยนะว่ามันเหมือนกับการสัมผัสที่ใกล้ชิดและความใกล้ชิดทางอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในบริบทของโลกนี้ ที่พวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงแค่สองคนใน Red Keep มันเป็นสิ่งที่พวกเราตระหนักดีแบบ 100% เลย เพราะงั้น สิ่งที่แสดงให้เห็นบนหน้าจอ มันมีจุดมุ่งหมายอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเรนีร่าและอลิเซนต์นั้น ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับประเด็นความเกลียดชังผู้หญิง (misogyny) และการที่ผู้หญิงในเวสเทอรอสไร้ซึ่งทางเลือกอีกด้วย เพราะว่าจากบทสัมภาษณ์ของ Insider มิลลี่ อัลค็อก ก็ได้บอกว่า “ในโลกที่พวกเธออาศัยอยู่นั้น ผู้หญิงไม่มีสิทธิอะไรเลยที่จะได้รู้ว่าอะไรคือทางเลือกของพวกเขา” เธอยังเสริมต่ออีกว่า “นั่นคือธีมที่คอยบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ และความสัมพันธ์ของอลิเซนต์และเรนีร่าก็เป็นตัวอย่างที่สำคัญสำหรับเรื่องนี้”
แน่นอนว่าในการเปิดเผยเรื่องเพศของตัวละครที่พวกเขาแสดงนั้น Emma D’Arcy ผู้รับบทเรนีร่า ทาร์แกเรียน ในวัยผู้ใหญ่ ก็ได้เปิดเผยผ่านงานแถลงข่าวว่า “ฉันคิดว่ามี erotic energy ที่เข้มข้นในความสัมพันธ์ช่วงวัยรุ่น เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาของการพยายามค้นหาว่าสิ่งใดคือสิ่งใด และใครคือคนที่ต้องการ
สำหรับ Olivia Cooke ผู้รับบทอลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ วัยผูัใหญ่ ก็เห็นด้วยกับการเข้าไปถึงตัวละครที่ Emily Carey รับบท และความสัมพันธ์ของอลิเซนต์และเรนีร่า มันเป็นการผสมผสานกันระว่าง platonic, romantic และ sisterly อยู่ในนั้น “เมื่อคุณมีมิตรภาพที่ intense friendship คุณกำลังโยนอารมณ์ทั้งหมดเหล่านี้ไปที่อีกฝ่ายหนึ่ง และเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่เหนียวแน่น และมันซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็น่าหลงใหลถึงที่สุด”
โอลิเวีย คุ๊ก ก็ยังให้สัมภาษณ์กับ ComicBook.com เกี่ยวกับตัวละครของเธอ Alicent Hightower เอาไว้ด้วยว่า “เรนีร่าและอลิเซนต์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในวัยเด็ก ความรักที่มีให้กันมันทั้งลึกซึ้งและเข้มข้นเป็นอย่างมาก มันสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณมีเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิต และพวกเขาต่างสะท้อนตัวตนของคุณได้อย่างแท้จริง แต่แล้วพวกเขากลับตรงข้ามกับคุณอย่างสิ้นเชิง” เธอยังบอกต่อว่า “พ่อของอลิเซนต์เป็นหัตถ์ราชา ความทะเยอทะยานทางการเมืองของเขามันมีไม่รู้จบ แล้วเมื่อแม่ของเรนีร่าสิ้นพระชนม์ ราชินีก็สิ้นพระชนม์ด้วย เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสอันน่าเหลือเชื่อ และเธอเองกลับถูกริบอนาคตไป”
ถ้า House of the Dragon มันเควียร์จริงๆ ทำไมถึงใส่เป็น subtext?
หนึ่งในสาเหตุที่สามารถเห็นได้ชัดๆ เลยว่าทำไมซีรีส์ House of the Dragon ถึงใส่ queer subtext เข้ามา แม้ว่าจะไม่เคยดู Game of Thrones หรืออ่านหนังสือหนังสือ Fire & Blood มาก่อน ก็สามารถมองเห็นและสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ มันเป็นเพราะว่า ตัวหนังสือที่ได้อ่านกัน เขียนขึ้นมาโดยแมสเตอร์ที่เป็นผู้ชาย สิ่งต่างๆ ที่บอกเล่าผ่านหนังสือ ก็ล้วนมองแต่มุมของผู้ชายทั้งสิ้น ตัวซีรีส์ก็เลยพยายามที่จะนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมุมมองของผู้หญิง เพื่อให้ผู้ชมและแฟนๆ ของจักรวาลนี้ได้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
เนื่องจากผู้หญิงในสมัยนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้พูดบอกถึงความต้องการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงชั้นสูงอย่าง เจ้าหญิงเรนีร่า ทาร์แกเรียน หรือแม้กระทั่ง เลดี้อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ พวกเขาต่างถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนให้อยู่ภายใต้จารีตประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน และพวกเขาไม่ใช่ชาวดอร์น ที่เปิดรับความหลากหลาย และความเท่าเทียมกัน เพราะด้วยสภาพสังคมที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งในซีรีส์ ด้วยขนบธรรมเนียมที่เลือกปฏิบัติมาอย่างยาวนาน ทำให้พวกเขาไม่สามารถแตกออกจากแถวที่เคยเป็นมาได้ ทั้งเรนีร่าและอลิเซนต์ก็เลยไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ได้เป็นแค่เด็กที่ขี่มังกรท่องไปกินเค้กด้วยกันได้ตามที่ใจปรารถนา
หากคุณสนใจเกี่ยวกับ Gender and Sexuality ในจักรวาลของ A Song of Ice and Fire ก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ awoiaf.westeros.org
Sources:
- https://comicbook.com/tv-shows/news/house-of-the-dragon-star-olivia-cooke-details-targaryen-adjacent-role-game-of-thrones/
- https://tu.ac.th/thammasat-280665-lsed-expert-talk-queer
- https://www.gaytimes.co.uk/culture/house-of-the-dragon-stars-address-queer-subtext-it-was-purposeful/
- https://www.insider.com/house-of-the-dragon-rhaenyra-and-alicent-are-a-little-bit-in-love-2022-8
- https://www.latimes.com/entertainment/movies/la-ca-mn-lgbtq-filmmakers-love-simon-20180316-story.html
- https://www.pride.com/tv/2022/8/24/house-dragons-actresses-say-those-queer-vibes-were-intentional
- https://www.them.us/story/house-of-the-dragons-stars-confirm-the-sapphic-vibes-are-intentional