Sade Adu ศิลปินนีโอโซลมือฉกาจ ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินในยุคหลังอีกมากมาย

| | ,

เมื่อเอ่ยถึง ชาเด (Sade) หลายคนก็จะนึกถึงผลงานติดหูอย่างเพลง Smooth Operator ซึ่งนอกจากเพลงยอดฮิตติดหูข้างต้นแล้ว ชาเดยังมีผลงานที่น่าสนใจอีกเป็นจำนวนมาก วันนี้จึงอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับศิลปินหญิงระดับตำนานอีกคนหนึ่งในวงการเพลงอังกฤษ

ชาเด หรือ เฮเลน โฟลาชาเด อาดู (Helen Folasade Adu) เกิดวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1959 ที่เมืองอิบาดาน ประเทศไนจีเรีย พ่อของเธอเป็นชาวไนจีเรีย ส่วนแม่เป็นชาวอังกฤษ หลังจากพ่อแม่แต่งงานกัน ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ไนจีเรีย ชาวไนจีเรียส่วนมากไม่เรียกชื่ออังกฤษของชาเด แต่เรียกโฟลาชาเดในรูปที่สั้นลงจนเหลือแต่คำว่า “Sade” จึงเป็นที่มาของชื่อ “ชาเด” ที่เรารับรู้กันถึงปัจจุบัน 

Sade Adu ได้รับแต่งตั้งให้เป็น Officer of the Order of the British Empire (OBE) ในปี 2002 และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น Commander of the Order of the British Empire (CBE) ในปี 2018 ด้วยเช่นกัน

Sade - A Message To Sade - Directed by The Polish Brothers (Lovers Live Extra 2001)

เมื่อชาเดอายุ 4 ขวบ พ่อแม่ก็แยกทางกัน แม่ของชาเดพาเธอกับพี่ชายกลับมาอยู่กับตายายบริเวณนอกเมืองโคลเชสเตอร์ เมืองเอสเซ็กส์ สหราชอาณาจักร เธอเติบโตมาพร้อมกับเพลงโซลแบบอเมริกา ที่ส่งผลต่ออิทธิพลของงานเพลงของเธอ โดยเฉพาะผลงานของศิลปินในช่วงทศวรรษที่ 1970 เช่น Curtis Mayfield, Donny Hathaway และ Bill Withers

ในช่วงวัยรุ่นของชาเด เธอมีโอกาสได้เข้าชมคอนเสิร์ตของ Jackson 5 ที่เรนโบว์ เธียเตอร์ (ย่านฟินส์บิวรี่ พาร์ค ในลอนดอน) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอทำงานเป็นพนักงานที่บาร์ช่วงสุดสัปดาห์พอดี เมื่อชาเดได้เห็นบรรยากาศของผู้ชมที่เข้าคอนเสิร์ต ทำให้เธอตื่นตาตื่นใจกว่าการแสดงคอนเสิร์ตซะอีก “…พวกเขาดึงดูดพวกเด็กๆ แม่ๆ กับลูกๆ  ผู้สูงอายุ คนขาว คนดำ ฉันรู้สึกประทับใจจริงๆ นั่นคือผู้ชมที่ฉันอยากมีมาโดยตลอด”  

แต่การเป็นศิลปิน ไม่ใช่ตัวเลือกแรกในเส้นทางอาชีพของเธอ ชาเดศึกษาเกี่ยวกับด้านแฟชั่นที่ St. Martin’s School of Art ในลอนดอน และเมื่อเรียนจบก็ออกมาทำงานเป็นดีไซเนอร์เครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชาย ในระหว่างนั้น ชาเดได้มาร่วมร้องซัพพอร์ตให้กับวง Arriva วงดนตรีของเพื่อนเธอที่เป็นวงหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์เท่านั้น แม้ว่าการร้องเพลงจะทำให้เธอรู้สึกกังวล ทว่าเธอกลับสนุกไปกับการเขียนเพลง หลังจากนั้นสองปีต่อมา ชาเดเอาชนะอาการตื่นเวทีของเธอได้ และกลับมาเป็นนักร้องประสานให้กับวงดนตรีแนวลาติน ฟังก์ แห่งลอนดอนเหนือ นั่นคือวง Pride 

ตลอดช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ชาเดอยู่กับวง Pride มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทางวงได้มีการแสดงดนตรีที่แตกต่างจากเดิม และชาเดขึ้นมาเป็นนักร้องนำของวง 4 คน (Quartets) โดยงานดนตรีจะมีความเป็นดนตรีแจ๊สมากขึ้น และหนึ่งในเพลงที่ชาเดแสดงก็คือเพลง Smooth Operator ที่เราหลายๆ คนรู้จักกันดีนี่เอง แน่นอนว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เธอร่วมเขียนขึ้นมา จึงทำให้เป็นที่หมายตาของบรรดาค่ายเพลง

Sade - Smooth Operator - Official - 1984

เป็นที่รู้กันดีว่าค่ายเพลงต่างต้องการที่จะเซ็นสัญญากับแค่ Sade Adu เพียงคนเดียว ไม่รวมวง Pride ด้วย แน่นอนว่าเธอปฏิเสธไป แต่ 18 เดือนต่อมา ชาเดตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Epic Records โดยมีข้อเสนอว่า เธอจะต้องนำเพื่อนร่วมวงอีกสามคนไปด้วย นั่นคือ Stuart Matthewman (แซกโซโฟน) Andrew Hale (มือคีย์บอร์ด) และ Paul Spencer Denman (มือเบส) และรวมตัวกันเป็นวง Sade นั่นเอง

ในปี 1984 วง Sade ปล่อยอัลบั้มเต็มที่มีชื่อว่า Diamond Life ทำให้ชาเดและเพื่อนร่วมวงได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาศิลปินหน้าใหม่ ไปครอง และในปีถัดมา พวกเขาได้ปล่อยอัลบั้ม Promise ออกมา และได้รับความนิยมเช่นเดียวกับอัลบั้มก่อนหน้า ทำให้พวกเขาได้มีคอนเสิร์ตระดับโลก และต่อมาในปี 1988 เธอได้ปล่อยอัลบั้ม Stronger Than Pride และเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกอีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น 4 ปี ชาเดปล่อยอัลบั้ม Love Deluxe ในปี 1992 และได้ปล่อยซิงเกิลที่มีชื่อว่า “No Ordinary Love” ที่ได้รับรางวัลแกรมมี่อีกครั้งหนึ่งด้วย ก่อนที่จะออกทัวร์รอบโลกอีกครั้งหนึ่ง 

หลังจากทัวร์รอบโลกในครั้งนั้น ชาเดใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยที่ไม่ต้องยุ่งกับใคร เพราะเธอจัดลำดับชีวิตส่วนตัวมาก่อนเรื่องงานเสมอ เธอได้เป็นแม่ และใช้เวลากับลูกของเธอด้วยเช่นกัน ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ของวง ก็ได้มีผลงานของตัวเองกันด้วย ก่อนจะกลับมารวมตัวอีกครั้งเพื่ออัลบั้ม Lovers Rock ในปี 2000 และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์มากมาย และได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาอัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยม อีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในปี 2001 ชาเดได้ออกทัวร์รอบโลกอีกครั้งหนึ่ง และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในปี 2002 ได้มีการนำเทปการแสดงมาใส่ในอัลบั้ม Lovers Live อีกด้วย ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของ Sade ที่ได้นำเครื่องดนตรีและจังหวะใหม่ๆ มาผสมเข้ากับเสียงร้องที่นุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์ของวงตั้งแต่ยุค 1980 

Sade - Soldier of Love - Official - 2010

ต่อมาในปี 2010 วง Sade ก็ได้ปล่อย Soldier of Love ออกมา และได้รับรางวัลแกรมมี่อีกครั้งหนึ่ง วงของเธอใช้จังหวะที่ดุดันและกีตาร์ที่หนักแน่น และนักวิจารณ์ก็ยกย่องอิทธิพลของทริปฮอป (trip-hop) และเร็กเก้ที่ทำให้ท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์ของชาเดนั้นมีสีสันมากยิ่งขึ้น 

ชาเดกลับมาอีกครั้งในปี 2018 กับเพลง Flower of the Universe สำหรับนำมาประกอบภาพยนตร์ A Wrinkle in Time ของ Disney ที่เธอเองก็ได้ร่วมเขียนและโปรดิวซ์เพลงนี้ร่วมกันกับ Andrew Hale และ Ben Travers 

เนื้อเพลงและความหมายในเพลงหลายๆ เพลงของชาเดนั้น ไม่ได้มีเพียงเนื้อหาของความรัก แต่กลับมีความหมายลึกซึ้งให้ผู้ฟังได้เลือกฟัง เช่น เพลง Like a Tattoo ที่ชาเดแต่งเพลงนี้ขึ้นมาหลังจากฟังเรื่องเล่าของทหารผ่านศึกที่เจอกันที่บาร์, เพลง Pearl เป็นเพลงที่เกี่ยวกับสองแม่ลูกชาวโซมาเลีย ที่เผชิญภาวะความอดอยากในปี 1992 เปรียบเม็ดข้าว ที่เป็นของที่แสนจะธรรมดาในสายตาพวกเรา แต่สำหรับผู้คนในประเทศที่ประสบปัญหาทุพโภชนาการ ความอดอยาก เม็ดข้าวเหล่านั้นที่หล่นลงมาจากรถบรรทุกมีค่าดั่งไข่มุก และเพลงอื่นๆ ของชาเดอีกมากมายที่มีเนื้อหาหลากหลายรอผู้อ่านย้อนกลับไปดื่มด่ำกับผลงานของเธอ

“I only make records when I feel I have something to say. I’m not interested in releasing music just for the sake of selling something. Sade is not a brand”.

“ฉันทำเพลงก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่ฉันอยากจะพูด ฉันไม่สนใจในการปล่อยเพลงเพื่อการค้าใดๆ ก็ตาม ชาเด ไม่ใช่แบรนด์สินค้า” 

ล่าสุด Sade Adu กลับมาอีกครั้งในรอบ 6 ปี เพื่อร่วมโปรเจ็กต์ TRANSA ของ Red Hot

Sade - Kiss Of Life - Official - 1993

Sources:

  • https://www.britannica.com/biography/Sade
  • https://www.sade.com/biography
  • picture credit: https://www.wearespotlightmusic.com/artists/sade
Previous

Fame On Fire Unveil New Track “Chains (The Tower)” featuring SiM, New Album Out Now

เตรียมเผชิญทุกความระทึกขั้นสุดใน “Never Let Go ผูกเป็น หลุดตาย” 19 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

Next