สายลับหญิงสร้างชาติ เรื่องจริงของสงครามเวียดนามที่ยิ่งกว่า The Sympathizer

| | ,

กระแสการรับรู้เกี่ยวกับสงครามอเมริกา (Kháng chiến chống Mỹ) หรือสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 (Chiến tranh Đông Dương lần thứ hai) หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนามสงครามเวียดนาม กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังจากการออกฉายของ The Sympathizer ฉบับมินิซีรีส์ ของ MAX ผลงานดัดแปลงจากหนังสือชื่อดังของเหวียน แทญห์ เวียต (Nguyễn Thanh Việt) บอกเล่าภารกิจหักเหลี่ยม เฉือนคมของสายลับสองหน้าผู้ยึดมั่นในระบอบคอมมิวนิสต์กับปฏิบัติการแทรกซึมนายพลฝั่งเวียดนามใต้ท่ามกลางไฟสงคราม

ทว่า สงครามเวียดนามไม่ได้มีแค่เรื่องราวของสายลับผู้ชายแต่เพียงอย่างเดียว มาทำความรู้จักอีกหนึ่งแง่มุมของสงครามที่ผู้หญิงเวียดนามมากมายต่างเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมากในการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งสมควรได้รับการจดจำในความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของพวกเธอ

ผู้หญิงเวียดนามในประวัติศาสตร์ยุคใหม่

บทบาทของผู้หญิงเวียดนามรักชาติกับการต่อต้านประเทศมหาอำนาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตกอยู่ภายใต้ยุคเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในปี 1884 จนประสบความสำเร็จในการปฏิวัติเดือนสิงหาคมและประกาศเอกราชโดยโฮจิมินห์ในวันที่ 2 กันยายน 1945 ทำให้ชีวิตของผู้หญิงเวียดนามได้รับการปลดปล่อยและรับรองโดยรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่สนับสนุนสิทธิอันทัดเทียมกับผู้ชายในฐานะประชาชนชาวเวียดนาม 

กระทั่งฝรั่งเศสเปิดฉากสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (Chiến tranh Đông Dương) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1946 ทำให้ผู้หญิงเวียดนามต้องเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงหลังกับสหายร่วมชาติอีกครั้ง

สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงหลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟู นำมาซึ่งการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามในภูมิภาคตามอนุสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา (Geneva Accord) ในปี 1954 ทำให้ประเทศเวียดนามถูกแบ่งตามเส้นขนานที่ 17 ได้แก่ เวียดนามเหนือที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม และเวียดนามใต้ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยถูกควบคุมจากสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิด มีเป้าหมายเพื่อใช้เวียดนามใต้ในการหยุดการขยายตัวของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้หญิงเวียดนามกลับคืนสู่สมรภูมิเพื่อรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น หลังจากระบอบการปกครองที่ต่างกันของฝั่งเหนือและใต้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนปะทุเป็นสงครามเวียดนาม หนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดของโลกยุคใหม่ เกิดขึ้นระหว่างช่วง 1 พฤศจิกายน 1955 – 30 เมษายน 1975 

นอกจากการรบในแนวหน้าหรือนักรบกองโจรแล้ว ในแนวหลังยังมีหน้าที่อื่นๆ ที่พวกเธอต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น คนงาน มีหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่ปลูกข้าว ดูแลเสบียง ขุดสนามเพลาะ ขุดอุโมงค์ บรรจุกระสุนหรือสร้างกับดัก แพทย์และพยาบาล รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสนามรบภายใต้สภาพแวดล้อมที่จำกัดในอุโมงค์ ช่างเครื่องหญิง คอยดูแลรถบรรทุกที่เดินทางไปมาระหว่างสนามรบและฐานทัพ เพื่อขนส่งทหาร อาวุธและเสบียง รวมไปถึงซ่อมถนนหรือสะพานที่สำคัญต่อการสัญจรหลังจากโดนทำลายด้วยแรงระเบิดจากฝ่ายศัตรู

แม้แต่นักบวชอย่างแม่ชี ก็ยังร่วมออกมาเคลื่อนไหวแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองเพื่อต่อต้านสงครามและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษทางการเมือง รวมทั้งนักการเมืองหญิงที่คอยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆ ที่ต่อต้านสงครามในเวียดนาม

สายลับหญิงสร้างชาติ

อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่สามารถพลิกโฉมประวัติศาสตร์สงคราม ได้แก่ สายลับที่คอยส่งข่าวสารและข้อมูลที่จำเป็น ทั้งในช่วงสงครามต่อต้านฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้ทักษะการปลอมตัว การแอบซุกซ่อนเอกสารหรือจดหมายลับไปกับสิ่งของต่างๆในชีวิตประจำวัน เพื่อปกปิดเจ้าหน้าที่ของฝ่ายตรงข้าม เปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงและเชื่อมโยงกลุ่มก้อนของผู้ต่อต้านในแต่ละพื้นที่ของประเทศเวียดนามเข้าด้วยกัน

หนึ่งในตัวอย่างวีรสตรีที่มีชื่อเสียงในช่วงสงครามอเมริกาที่ได้รับการเชิดชูวีรกรรมจวบจนถึงปัจจุบัน อาทิ

หวอ ถิ ถัง (Võ Thị Thắng) หญิงสาวจากครอบครัวนักปฏิวัติในอำเภอเบ้น ลึ้ก (Bến Lức) จังหวัดลอง อาน (Long An) ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการปฏิวัติในเขตบ้านเกิด ก่อนจะเข้าร่วมกับขบวนการกู้ชาติอย่างเป็นทางการในวัย 16 ปี

ในปี 1968 เธอได้รับภารกิจให้ไปตามสืบพฤติกรรมของเทริ่น วัน โด๊ะ (Trần Văn Đỗ) ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นสายลับให้กับฝ่ายศัตรู โดยวางแผนบุกลอบสังหารในวันที่ 27 กรกฎาคม 1968 แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากปืนของเธอด้าน ส่งผลให้หวอ ถิ ถังถูกจับกุม ตามด้วยการทรมานสารพัด แต่เธอไม่เคยปริปากเผยความลับของขบวนการปฏิวัติแม้แต่น้อย 

ต่อมาในวันที่ 2 สิงหาคม 1968 หวอ ถิ ถังถูกตัดสินให้ต้องโทษจำคุกและใช้แรงงานเป็นระยะเวลา 20 ปี จากข้อหาพยายามฆ่า แต่สิ่งที่เธอทำหลังได้ยินคำตัดสินคือคลี่ยิ้มออกมาและกล่าวประโยคในตำนาน

“ดิฉันเกรงว่ารัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้คงจะอยู่ไม่นานขนาดนั้นหรอก”

ภาพเหตุการณ์ในวันตัดสินคดีที่รู้จักกันในนามรอยยิ้มแห่งชัยชนะ (Nụ cười chiến thắng) กลายเป็นหนึ่งในภาพถ่ายสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วงสงครามที่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของผู้หญิงเวียดนาม

ภาพรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
ภาพรอยยิ้มแห่งชัยชนะ จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

หวอ ถิ ถังถูกคุมขังในหลายเรือนจำ รวมถึงเรือนจำโกน ด่าว (Côn Đảo) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนรกบนดินจากการใช้คุกกรงเสือ (Tiger Cage หรือ Chuồng cọp Côn Đảo) มรดกอันน่าอดสูตั้งแต่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส นักโทษจะอยู่ในพื้นที่ปิดสามด้าน มีเพียงซี่ลูกกรงด้านบนของแต่ละห้องขัง ถูกทรมาน จำกัดอาหารและน้ำ 

ในเวลาที่ว่างเว้นจากการถูกทรมานและการใช้แรงงาน เธอพยายามรักษาจิตวิญญาณนักสู้ของตัวเองไว้ผ่านการทำงานฝีมือ ด้วยศรัทธาที่อยากจะไปกราบไหว้วัดเจดีย์เสาเดียวในกรุงฮานอย เมืองหลวงแห่งการปฏิวัติให้ได้สักครั้งในชีวิต ผ้าปักของหวอ ถิ ถังที่ใช้เวลา 1 ปีในการสร้างสรรค์กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของการต่อสู้

ท้ายที่สุดแล้ว เธอได้รับการปล่อยตัวในเดือนมีนาคม 1973 และยังทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ผ้าปักวัดเสาเดียวโดยหวอ ถิ ถัง จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
ผ้าปักวัดเสาเดียวโดยหวอ ถิ ถัง
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

สายลับสาวอีกคนที่มีบทบาทไม่แพ้กัน ได้แก่ ฮวิ่ง ถิ หง็อก (Huỳnh Thị Ngọc) กับอุบายแกล้งสติฟั่นเฟือนตบตาศัตรู เธอทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานลับส่งจดหมายให้แม่และกองกำลังปฏิวัติตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1972 ฮวิ่ง ถิ หง็อก วัย 21 ปี พร้อมกับหน่วยรบเยาวชนได้บุกลอบสังหารเหวียน วัน ชึ๊ก (Nguyễn Văn Chức) ผู้ว่าราชการจังหวัดบิ่งญ์ ดิ่ง (Bình Định) ซึ่งขี้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม ผลจากภารกิจดังกล่าว ทำให้เหวียน วัน ชึ๊กบาดเจ็บสาหัส พร้อมกับการเสียชีวิตของลูกน้องอีก 5 ราย ซึ่งทำให้มีการล่าตัวผู้ก่อการอย่างเข้มข้น

ท้ายที่สุดเธอถูกจับในขณะถือบัตรประชาชนปลอมในชื่อเหวียน ถิ ทู กู๊ก (Nguyễn Thị Thu Cúc) และไม่ยอมบอกตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

ฮวิ่ง ถิ หง็อก
จากเว็บไซต์ Báo Pháp luật Việt Nam
ฮวิ่ง ถิ หง็อก
จากเว็บไซต์ Báo Pháp luật Việt Nam

ตั้งแต่ถูกควบคุมตัวฮวิ่ง ถิ หง็อกก็ได้อาละวาดคล้ายกับบุคคลจิตไม่สมประกอบ แม้จะถูกทรมานสารพัดจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรงข้าม กระทั่งถูกให้นั่งบนเก้าอี้ประหารด้วยการยิงเป้า เธอก็ยังไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆ กลับยิ่งทวีความบ้าคลั่งจนเป็นที่วุ่นวายของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เธอถูกส่งตัวไปคุมขังที่โรงพยาบาลจิตเวชเบียนฮว่า (Biên Hòa Psychological and Mental Hospital) 

ตลอดระยะเวลา 6 เดือนในโรงพยาบาลที่มักจะให้ผู้ป่วยรับยาให้อยู่ในสภาวะอัมพาตเพื่อสงบสติอารมณ์ เธอได้พบเจอกับจิตแพทย์หญิงชาวเบลเยี่ยมชื่อโอลิเวต์ มิคูไลชัค (Olivette Mikolajczak) ที่เป็นอาสาสมัครทำงานอยู่ในโรงพยาบาลดังกล่าว 

ความเมตตาจากจิตแพทย์หญิงและสหายร่วมรบ ทำให้ฮวิ่ง ถิ หง็อกสามารถหลบหนีจากโรงพยาบาลจิตเวชได้อย่างปลอดภัยในเดือนมีนาคม 1975 ก่อนที่จะเธอจะเข้าร่วมปลดปล่อยเวียดนามใต้ในวันล่มสลายของไส่ก่อน (Fall of Saigon หรือ Sài Gòn thất thủ) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 1975 หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนต้นของซีรีส์ The Sympathizer

ใบรับรองแพทย์ของ ฮวิ่ง ถิ หง็อก ที่กล่าวถึงอาการทางจิต
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
ใบรับรองแพทย์ของ ฮวิ่ง ถิ หง็อก ที่กล่าวถึงอาการทางจิต
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

แม่วีรชนผู้เสียสละ

แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายช่วงสงคราม การทำหน้าที่แม่ยังคงเป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของผู้หญิงเวียดนาม พวกเธอต้องสามารถเลี้ยงดูลูกได้สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเด็กอย่างอุโมงค์และสนามรบ 

แต่เมื่อถึงเวลาที่ชาติต้องการความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน แม่ย่อมสามารถเสียสละลูกหลานไปทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อร่วมก่อร่างสร้างประเทศ แม้ว่าอาจจะเป็นการสิ้นสุดการทำหน้าที่ของตัวเองก็ตาม ซึ่งเป็นแบบอย่างที่รัฐและพรรคคอมมิวนิสต์คาดหวังให้ชาวเวียดนามปฏิบัติตาม

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการแต่งตั้ง แม่วีรชนผู้กล้าแห่งเวียดนาม (Heroic Mothers of Vietnam หรือ Bà mẹ Việt Nam anh hùng) เพื่อเป็นการยกย่องผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ในวันที่ 24 กันยายน 1994 โดยคณะกรรมการสภาแห่งชาติชั่วคราว (Permanent Committee of the National Assembly หรือ Uỷ ban Thường vụ Quốc hội) ได้แต่งตั้งแม่วีรชนผู้กล้าแก่ผู้หญิงที่ต้องสูญเสียลูกมากกว่า 2 คน หรือลูกคนเดียว รวมทั้งสามีในสงคราม 

ผู้หญิงที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวมีอยู่ราว 50,000 คนทั่วประเทศ โดยบุคคลที่ได้รับความเคารพสูงสุดจากชาวเวียดนาม ได้แก่ เหวียน ถิ ถื้อ (Nguyễn Thị Thứ) หญิงที่ได้เสียสละชีวิตของทายาทเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 รายในสงครามที่ประเทศต้องเผชิญ

สิ่งของพลิกสงคราม 

ปัจจุบัน เรื่องราวของการต่อสู้เพื่อต่อต้านการกดขี่และการรุกรานจากชาติตะวันตกของผู้หญิงเวียดนามผ่านสิ่งของต่างๆที่เคยใช้จริง รวมถึงรูปภาพในประวัติศาสตร์ที่ช่วยยืนยันสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ถูกเก็บรวบรวมไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม (Vietnamese Women’s Museum หรือ Bảo tang Phụ nữ Việt Nam) ในกรุงฮานอย ก่อตั้งขึ้นปี 1987 และพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงภาคใต้ (Southern Women’s Museum หรือ Bảo tàng Phụ nữ Nam Bộ) ในนครโฮจิมินห์ ก่อตั้งขึ้นปี 1985 

พิพิธภัณฑ์ผู้หญิงทั้งสองแห่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของผู้หญิงอย่างเป็นทางการประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในส่วนการจัดแสดงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นผู้หญิงในประวัติศาสตร์สงคราม พบว่า สายลับหญิงใช้กลยุทธ์ในการส่งต่อความลับและข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิวัติด้วยการดัดแปลงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน 

สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญเหล่านี้ ล้วนมีเรื่องราวที่น่าทึ่งของผู้หญิงเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น หน้ากากคลุมหน้าทำจากผ้าดิบเพื่ออำพรางตัวในการประชุมลับ แจกัน บัตรประชาชนปลอม ตลับแป้งที่สายลับหญิงใช้เพื่อส่งเอกสารลับของศัตรูซึ่งซุกซ่อนอยู่หลังกระจกให้แก่นายทหารฝั่งเวียดกงในช่วงปี 1973-1974

หน้ากากคลุมหน้าจากผ้าดิบสำหรับพรางตัวในการประชุมลับ
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
หน้ากากคลุมหน้าจากผ้าดิบสำหรับพรางตัวในการประชุมลับ
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

ไม้กวาดทางมะพร้าวของเล ถิ คา (Lê Thị Kha) วัย 61 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารช่วงปี 1964 และปลอมตัวเป็นแม่ค้าเร่ขายไม้กวาดทางมะพร้าวจากจังหวัดเบ๊น แจ (Bến Tre) ไปยังจังหวัดหมี ทอ (Mỹ Tho) โดยใส่เอกสารลับบริเวณด้ามจับของไม้กวาดทางมะพร้าวที่สภาพไม่น่าใช้ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของนักโทษหญิงที่ถูกคุมขัง แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ในเรือนจำและวิถีชีวิตที่นักโทษการเมืองหญิงใช้เพื่ออยู่รอดจากความโหดร้ายจากการรีดเค้นข้อมูลและการทรมานสารพัด

ข้าวของเครื่องใช้ของนักโทษหญิงมีทั้งงานเย็บปักถักร้อยในรูปแบบของปลอกหมอนและผ้าเช็ดหน้า สมุดกลอน สมุดจดวิชาคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์ รวมทั้งผ้าขาวม้าที่ใช้ซับเลือดประจำเดือน

บน ตลับแป้งและบัตรประชาชนปลอม
ล่าง ไม้กวาดทางมะพร้าว แจกัน ชุดชั้นใน และสิ่งของอื่นๆที่ใช้ซ่อนเอกสาร
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
บน ตลับแป้งและบัตรประชาชนปลอม
ล่าง ไม้กวาดทางมะพร้าว แจกัน ชุดชั้นใน และสิ่งของอื่นๆ ที่ใช้ซ่อนเอกสาร
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

สิ่งของจัดแสดงที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจอย่างต่อผู้เขียนอย่างมาก คือ เส้นผมของเหวียน ถิ ซึง (Nguyễn Thị Dzung) นักโทษหญิงที่ถูกควบคุมตัว ณ เรือนจำโกนด๋าว ระหว่างปี 1970 และได้บริจาคของสิ่งนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนามเมื่อปี 1988 

ส่วนหนึ่งของร่างกายที่นำมาเพื่อถักทอร้อยต่อกันเป็นราวตากผ้ายาว 3 เมตร เพื่อดำรงชีวิตท่ามกลางสภาวะอันแร้นแค้นที่นักโทษต้องกินและขับถ่ายรวมอยู่ในที่เดียวกัน

นักโทษหญิงในเรือนจำแห่งนี้จะได้รับอนุญาตให้อาบน้ำทุกๆ 3 เดือน ในแต่ละวันจะได้รับน้ำสำหรับดื่มกินแค่ 2 กระป๋องเท่านั้น ดังนั้นแล้วช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของผู้หญิงตอนมีประจำเดือน พวกเธอต้องฉีกเศษเสื้อผ้าที่สวมใส่ของตัวเองมาใช้แทนผ้าอนามัยและซักล้างด้วยน้ำที่มีอย่างจำกัด บ้างก็ใช้ปัสสาวะของตัวเองในการทำความสะอาด จากนั้นพัดให้แห้งหรือตากไว้กับราวตากผ้าที่ทำขึ้นเอง

ซ้ายบน สมุดวิชาคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์
ซ้ายล่าง ผ้าขาวม้าที่ใช้ซับเลือดประจำเดือนและราวตากผ้าที่ทำจากเส้นผม
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
ขวา พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมจากวัดตาม บ๋าว (Tam Bảo) ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ซุกซ่อนเอกสารลับ ชุดแม่ชีที่ฟ่าม ถิ บิ๊ก เลียน (Phạm Thị Bích Liên) ใช้ปลอมตัวระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เขียงไม้ที่ถูกคว้านภายในออก และกระเป๋าสาน 2 ชั้นสำหรับซุกซ่อนอาวุธ
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงภาคใต้ โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต
ซ้ายบน สมุดวิชาคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์
ซ้ายล่าง ผ้าขาวม้าที่ใช้ซับเลือดประจำเดือนและราวตากผ้าที่ทำจากเส้นผม
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนาม โดย ผู้เขียน
ขวา พระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมจากวัดตาม บ๋าว (Tam Bảo) ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ซุกซ่อนเอกสารลับ ชุดแม่ชีที่ฟ่าม ถิ บิ๊ก เลียน (Phạm Thị Bích Liên) ใช้ปลอมตัวระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เขียงไม้ที่ถูกคว้านภายในออก และกระเป๋าสาน 2 ชั้นสำหรับซุกซ่อนอาวุธ
จากพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงภาคใต้ โดย ผู้เขียน
สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำนอกเหนือจากได้รับอนุญาต

The Sympathizer สงคราม และชะตากรรมของผู้หญิง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามได้สร้างพื้นที่ใหม่ในสังคมแทนพื้นที่ในบ้านตามความคิดดั้งเดิมของขงจื้อที่ฝังรากลึกในเวียดนาม จนกลายมาเป็นลักษณะหรือภาพจำอันโดดเด่นในฐานะนักสู้ที่ไม่ย่อท้อต่อความโหดร้าย แม้จะเป็นแค่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นผู้หญิงเวียดนามได้รับความสำคัญทัดเทียมกับผู้ชายจากความสามารถที่ตนเองมี ซึ่งมากไปกว่าการเป็นแค่ภรรยาที่ดีเพื่อให้กำเนิดทายาทหรือการทำหน้าที่แม่ในครอบครัว

อย่างไรก็ตาม ความโหดร้ายในฐานะเหยื่อของสงครามที่ผู้หญิงเวียดนามต้องเผชิญยังมีมากไปกว่าความรุนแรงในสนามรบและเรือนจำ ความรุนแรงรอบด้านในสมรภูมิชีวิตจากความรุนแรงทางเพศและปัญหาครอบครัวมากมายได้ทิ้งบาดแผลที่มองเห็นและมองไม่เห็นให้กับพวกเธอภายหลังการรับใช้ชาติ โดยเฉพาะความกดดันจากการเป็นแม่ที่ดี ซึ่งไม่ควรมีใครต้องประสบกับชะตากรรมดังกล่าว 

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ที่เหล่าสายลับหญิงเวียดนามได้เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งได้รับความเคารพและเป็นที่จดจำของผู้คน ยังมีอีกหลายเรื่องราวท่ามกลางไฟสงครามที่รอการค้นพบจากผู้ที่สนใจ รวมถึงภารกิจเสี่ยงตายของสายลับสองหน้าใน The Sympathizer ที่กำลังออกฉายมาได้ครึ่งทางและกำลังเข้มข้นขึ้นในทุกขณะ

The Sympathizer | Official Trailer | HBO GO

เอกสารอ้างอิง

  • ดุสิดา วรชาติเดชชัย (2559). ภาพลักษณ์ของผู้หญิงเวียดนามผ่านการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ผู้หญิงเวียดนามกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะศิลปศาสตร์
  • Vietnamese Women’s Museum, Everlasting Memories, (Hanoi : Women’s Publishing House, 2008,)
  • Hy Van Luong, Gender Relations: Ideologies, Kinship practices and Political Economy”, (Maryland: Rowman & Littlefield Publishers Inc, 2003)
Previous

Pop-Punk Star LØLØ Drops New Single and Video “kill the girl”

GAGA CHROMATICA BALL คอนเสิร์ตพิเศษ HBO ออริจินัล เตรียมเข้าฉาย 26 พฤษภาคมนี้

Next