จากการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิเท่าเทียมกับบุคคลตรงเพศในประเทศไทย อย่าง “สิทธิในการสมรส” นั้น ใช้เวลามากว่า 23 ปี (นับตั้งแต่ พ.ศ. 2544) กว่าจะสร้างประวัติศาสตร์ให้กลุ่มคนเพศหลากหลายได้สิทธิสมรสเท่าเทียมเฉกเช่นเดียวกับการสมรสของคู่รักต่างเพศ ล่าสุด สภาผู้แทนราษฎร ในรัฐบาลของ เศรษฐา ทวีสิน ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม 400 เสียง ต่อ 10 เสียง
สำหรับการพิจารณาสมรสเท่าเทียมในวาระแรกนั้น เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ใจความหลักคือการแก้ไขบรรพห้า ที่เกี่ยวข้องกับการสมรส ซึ่งแต่เดิมมีการรับรองเพียงแค่ชายและหญิงเท่านั้น แต่สำหรับการแก้ไขในครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดการรับรองการสมรสของบุคคลไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ให้ได้สิทธิเท่าเทียมกันตามกฎหมาย
ภายในการประชุมเพื่อการพิจารณาร่างสมรสเท่าเทียม หลังจากผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญในวาระสอง จึงทำการพิจารณาและลงมติเห็นชอบในวาระสามต่อ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็จะส่งร่างไปยังวุฒิสภาเพื่อให้สภาพิจารณาอีกครั้ง หากได้รับความเห็นชอบ นายกรัฐมนตรีก็จะนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศเป็นกฎหมายและมีผลใช้ได้อย่างเป็นทางการ
หากมีการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้อย่างเป็นทางการ จะส่งผลให้ ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ถัดจากไต้หวันและเนปาลที่ผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม
อยากอ่านหัวข้อไหน เลือกได้เลย
สมรสเท่าเทียม คืออะไร?
สมรสเท่าเทียม คือ การสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่ครอบคลุมทุกเพศสภาพ ทั้งเพศวิถี และอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ตามหลักความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งการมีอยู่ของ ‘สมรสเท่าเทียม’ นั้น จะก่อให้เกิดสิทธิต่างๆ กับคู่สมรสของกลุ่มคนเพศหลากหลาย เช่นเดียวกับสิทธิของสามี-ภรรยา โดยผูกพันกันตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น การหมั้น การจดทะเบียนสมรส การจัดการทรัพย์สินสมรส การเป็นผู้จัดการแทนทางอาญา การรับมรดก การรับบุตรบุญธรรม รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ที่ทางกฎหมายรับรอง และสวัสดิการจากรัฐ เป็นต้น
นั่นหมายความว่า สมรสเท่าเทียม จะนำมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของคู่สมรสเพศหลากหลาย เช่นเดียวกับ สามี-ภรรยา ตามกฎหมาย
ส.ส. ลงมติผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม 400 เสียง ต่อ 10 เสียง
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสำหรับการลงมติร่างกฎหมายฉบับนี้นั้น ทางด้านของ ดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ได้ชี้แจงรายละเอียดก่อนทำการลงมติร่างกฎหมายว่า ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ในมาตรา 4 กล่าวถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เป็นการทำเพื่อคนไทยทุกคน
“กฎหมายฉบับนี้แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อทุกคนในประเทศไทย เพราะหลังจากที่ได้มีการผ่านวาระ 1 ไปแล้ว เราได้ฟังเสียงรอบด้าน และมีการพูดคุยว่ากฎหมายฉบับนี้ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ กมธ.พิจารณาด้วยความรอบคอบ และขอยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้ ชายหญิงทั่วไป ท่านเคยได้รับสิทธิอย่างไร ท่านจะไม่เสียสิทธิแม้แต่น้อย สิทธิของท่านในทางกฎหมายยังเท่าเดิมทุกประการ และกฎหมายฉบับนี้จะคุ้มครองคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแล้วแต่จะเรียกว่าเป็น LGBTQ+ ผู้ชายข้ามเพศ หญิงข้ามเพศ หรืออะไรก็ตาม
วันนี้ทุกสังคมไม่ว่าในประเทศไทยหรือต่างประเทศ เชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าเราไม่ได้มีเพียงแค่เพศชาย เพศหญิง อีกต่อไปแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเกิดมาเป็นเพศชาย หรือเพศหญิง เขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่คนเหล่านี้เลือกที่จะเป็นตามสิ่งที่เขาต้องการได้ เพราะฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้ ต้องการที่จะ ‘คืนสิทธิ’ ให้กับคนกลุ่มนี้ เราไม่ได้ให้สิทธิเขา แต่เป็นสิทธิเบื้องต้นที่คนกลุ่มนี้สูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการรักษาพยาบาล การเสียภาษี การลดหย่อนภาษีต่างๆ รวมถึงการเซ็นยินยอมให้เข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาล คนเหล่านี้เขาไม่เคยได้สิทธิแบบนี้ ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เป็นการคืนสิทธิ และตอนหาเสียงเลือกตั้งทุกพรรคการเมือง บอกว่าอยากจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่เท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำ
ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความเท่าเทียม กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ยาที่จะรักษาได้ทุกโรค แต่อย่างน้อยเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมไทย ขอเชิญชวน ส.ส.ทุกท่านมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทย เราจะเป็นประเทศที่สาม ในภูมิภาคเอเชียที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เราจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเซาท์ อีสท์ เอเชีย และเราจะภาคภูมิใจในเวทีโลกว่าประเทศไทยเห็นความสำคัญของความเหลื่อมล้ำในสังคม ความเหลื่อมล้ำทางเพศ หวังว่าวันนี้พวกเราในฐานะตัวแทนประชาชนทั้งประเทศ จะร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทย”
สาระสำคัญโดยสรุปของร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม
สำหรับร่างกฎหมายที่ผ่านชั้นกรรมาธิการวิสามัญ ที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีทั้งสิ้น 38 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป 3 หัวข้อ นั่นคือ
1. บทบัญญัติของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ในบางมาตรา มีถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับบริบทสังคมในปัจจุบัน ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญจึงปรับถ้อยคำให้มีความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ
2. เกณฑ์อายุขั้นต่ำในการหมั้นและการสมรสนั้น ควรกำหนดอายุไว้ที่ 18 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้ผู้ที่จะทำการหมั้นหรือการสมรส มีอายุพ้นจากความเป็นเด็ก และเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายในประเทศ ที่มีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กเพื่อป้องกันปัญหาการแต่งงานในวัยเด็กจากการถูกบีบบังคับ ซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก พันธสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
3. คณะกรรมาธิการวิสามัญ ได้เพิ่มบทบัญญัติใหม่ขึ้นมาจำนวน 1 มาตรา เพื่อกำหนดให้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่งใดๆ ที่อ้างถึงคู่สมรสที่ก่อตั้งครอบครัวตามประมวลกฎหมายฉบับนี้ ให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางกฎหมายตามกฎหมายอื่นๆ ที่กำหนดเอาไว้ให้กับ “สามี ภรรยา” เพื่อลดภาระให้กับหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขกฎหมาย และมีการบัญญัติให้หน่วยงานรัฐทำการทบทวนกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม โดยต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายใน 180 วัน
การสงวนญัตติเพื่อทำการพิจารณาในขั้นลงมติของ ส.ส.
ซึ่งในระหว่างขั้นตอนที่มีการพิจารณาในชั้นคณะกรรมการวิสามัญ มีการสงวนญัตติเอาไว้ เพื่อให้ทาง ส.ส. ได้ทำการลงมติเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบในมาตราเหล่านั้น ซึ่งเนื้อหาที่มีการสงวนญัตติเอาไว้มีในส่วนของ
1. อายุขั้นต่ำในการหมั้นและการสมรส
เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีการบังคับใช้อยู่ตาม มาตรา 1448 มีการกำหนดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำในการสมรสไว้ที่ 17 ปี จึงจะสามารถทำการหมั้นได้ และในการพิจารณาร่างกฎหมายชั้นกรรมาธิการ มีการเสนอให้แก้ไขอายุขั้นต่ำในการสมรสได้เมื่ออายุ 18 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ในมตินี้ สภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขอายุขั้นต่ำในการสมรสจาก 17 ปีเป็น 18 ปีบริบูรณ์ แต่ยังคงข้อยกเว้นให้บุคคลสามารถสมรสอายุต่ำกว่า 18 ปี ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรและศาลอนุญาต
2. การเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” เพื่อความเป็นกลางทางเพศ และครอบคลุมคู่สมรสที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีการบังคับใช้นั้น มีการกำหนดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรเอาไว้ ซึ่งการใช้คำว่า “บิดา-มารดา” นั้น เป็นคำที่ไม่ครอบคลุมคู่สมรสที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย
กรรมาธิการจากภาคประชาชนได้เสนอให้มีการแก้ไขในส่วนนี้ โดยเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” เข้าไปในหลายมาตรา เพื่อให้เกียรติครอบครัวที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ซึ่งมติในชั้นกรรมาธิการวิสามัญนั้น การเสนอแก้ไขเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ทำให้มีการสงวนญัตติเพื่อให้ ส.ส. ร่วมลงมติในส่วนนี้
ทางด้านของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับคำว่า “บุพการีลำดับแรก” เอาไว้ว่าการแก้ไขคำต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง และการเสนอแก้เพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” ยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบอย่างเป็นทางการมารองรับ ไม่มีการกำหนดนิยามมาก่อน การสร้างถ้อยคำใหม่ขึ้นมาเพื่อการบัญญัติเอาไว้ในระบบกฎหมายไทย อาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความถ้อยคำได้ นอกจากนี้ การเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” ต่อจากคำว่า บิดา-มารดา จะส่งผลกระทบต่อกฎหมายอื่นๆ อีก 47 ฉบับ ที่ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม และต้องรื้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ทางกรรมาธิการเสียงข้างมาก เห็นว่า รายละเอียดในส่วนนี้สามารถแก้ไขได้ในภายหลัง เฉพาะการแก้ไขในกฎหมายฉบับที่จำเป็นต่อการรับสิทธิต่างๆ เช่น การรับบุตรบุญธรรม และกฎหมายคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขที่ตรงจุด และไม่กระทบต่อระบบกฎหมาย
ในมตินี้ ทางสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่ไม่เพิ่มเติมคำว่า “บุพการีลำดับแรก” เข้าไปหลังคำว่า “บิดา มารดา” ทำให้ข้อเสนอในส่วนนี้ของภาคประชาชนเป็นอันตกไป
สิทธิที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศจะได้รับคืนสิทธิจากสมรสเท่าเทียม
จากที่ทาง ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ชี้แจงก่อนทำการลงมติว่าหากร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับนี้ผ่าน จะเป็นการคืนสิทธิให้กับผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยที่บุคคลตรงเพศและบุคคลรักต่างเพศ ยังคงได้รับสิทธิทุกอย่างเหมือนเดิมทุกประการ นั่นหมายความว่า ร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ ทุกคนจะได้รับประโยชน์และเข้าถึงสวัสดิการจากภาครัฐได้เท่าเทียมกันทุกคน โดยมีการปรับและแก้ไขในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
หมวด | ป.พ.พ. เดิม | ร่างแก้ไข ป.พ.พ. ใหม่ |
---|---|---|
การสมรส | ชาย-หญิง, สามี/ภรรยา | บุคคล, คู่สมรส |
การหมั้น | ชาย-หญิง | บุคคล, ผู้หมั้น/ผู้รับหมั้น |
อายุของการหมั้น/สมรส | 17 ปี | 18 ปี |
การฟ้องหย่ากรณีมีชู้เป็นเพศเดียวกัน | ทำไม่ได้ | ทำได้ |
นอกจากนี้ คู่รักเพศหลากหลายจะได้รับสิทธิ ความเท่าเทียม และการคุ้มครองทางกฎหมาย ตามหลักความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกันกับคู่รักต่างเพศ ไม่ว่าจะเป็น
- การสมรส ไม่ว่าบุคคลจะมีเพศสภาพ หรืออัตลักษณ์ทางเพศอย่างไร เมื่อจดทะเบียนสมรสกัน ให้ถือว่าเป็น “คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย”
- คำว่า “คู่สมรส” ไม่จำกัดแค่ที่ ชาย กับ หญิง เท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงทุกเพศสภาพ
- ปรับให้ใช้คำที่เป็นกลางทางเพศมากขึ้น เช่น “สามี-ภรรยา” ปรับเป็น “คู่สมรส” และคำว่า “ชาย-หญิง” ปรับเป็น “บุคคล”
- ปรับอายุขั้นต่ำในการสมรสจาก 17 ปี เป็น 18 ปีบริบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่ยังคงข้อยกเว้นให้บุคคลสามารถสมรสอายุต่ำกว่า 18 ปี ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรและศาลอนุญาต
- คู่สมรสสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ และให้บุตรบุญธรรมใช้นามสกุลคู่สมรสได้ โดยจะต้องมีอายุแก่กว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26)
นอกจากนี้ คู่สมรสจะได้รับสิทธิในการจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส สิทธิในการเป็นผู้จัดการแทนในทางอาญา เช่นเดียวกับสามี-ภรรยา สิทธิในการรับมรดกหากอีกฝ่ายเสียชีวิต สิทธิในการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม สิทธิในการฟ้องหย่า สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม สิทธิในการเซ็นยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่าย สิทธิในการจัดการศพ ไปจนถึงสิทธิและสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส เช่น สิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนจากประกันสังคม สิทธิในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
ที่สำคัญเลยก็คือ หากกรณีที่มติคณะรัฐมนตรีใด มีการอ้างถึงสามี-ภรรยา ให้ถือว่าอิงตามคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายนี้ด้วย
อนาคตของเพศหลากหลาย สมรสเท่าเทียม และก้าวแรกของความเสมอภาค
ในอดีต ประเทศไทยมีการบันทึกถึงคู่แต่งงานเพศเดียวกัน อย่างเห็นได้ชัดในปี พ.ศ. 2471 (หรือ ค.ศ. 1928) ในงานมงคลสมรสของถม-ช้อย คู่รักเพศเดียวกัน ถูกตีพิมพ์ลงหน้าหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” ด้วยคำว่า “วิวาห์ลักเพศ” แม้ทั้งคู่จะอยู่กินกันอย่างคู่สมรส แต่สุดท้ายกลับเกิดโศกนาฏกรรม และชีวิตคู่ของทั้งสองคนก็จบลงด้วยปลายกระบอกปืนที่สังคมเป็นคนหยิบยื่นให้
ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์การต่อสู้ร่วมสมัยของเพศหลากหลาย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น สมรสเท่าเทียมถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ ที่รับรองให้ทุกคนได้รับสิทธิตามที่กฎหมายและรัฐธรรมนูญได้ตราไว้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในประเทศไทย
สมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวแรกและก้าวใหญ่ที่สำคัญในการต่อสู้ของชุมชน LGBTQIAN+ ในประเทศไทย และความก้าวหน้าในครั้งนี้ จะไม่หยุดอยู่แค่เพียงการตราสมรสเท่าเทียมเท่านั้น แต่มันคือการเปิดประตูไปสู่การตรากฎหมาย เพื่อให้บุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ และคนชายขอบ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างแท้จริง
หวังว่านี่จะช่วยจุดประกายให้กับการต่อสู้ในทุกๆ รูปแบบ เพื่อโอบกอดทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะเพศหลากหลายที่ถูกกดทับและตีตรามาอย่างยาวนาน ให้พวกเขาได้รับสิทธิและหน้าที่ ตามที่กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ เฉกเช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทุกคน
Sources:
- https://thematter.co/thinkers/woman-woman-marriage-in-siam/100878
- https://web.parliament.go.th/view/1/รายละเอียดข่าว/ภาพข่าวสภาผู้แทนราษฎร/1407/TH-TH
- https://www.bbc.com/thai/articles/cn0edj0dq6lo
- https://www.ilaw.or.th/articles/3667
- https://www.matichon.co.th/politics/news_4495302