ให้คุณจำลองประสบการณ์การแข่งรถด้วย Gran Turismo เข้าฉาย 31 สิงหาคมนี้

| |

เตรียมตัวสัมผัสประสบการณ์ความเร็ว แรง เหนือขีดจำกัดไปพร้อมๆ กันกับ Gran Turismo ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของ Jann Mardenborough เด็กหนุ่มผู้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องรถ และสิ่งเดียวที่เขาฝันอยากจะทำคือการเป็นนักขับรถ แต่นั่นเป็นโลกที่เขาไม่มีทางเข้าถึงได้…จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสจากการทดลองที่จะฝึกคอเกมให้เป็นนักแข่งรถตัวจริง

“แนวทางในการสร้างหนังเรื่องนี้ของนีลล์คือการพยายามสร้างเรื่องจริงนี้ให้สมจริงและน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เบลเกรดกล่าว “ไอเดียของเราในที่นี้คือการพยายามช่วยให้ผู้ชมได้มีประสบการณ์ตื่นเต้นของการเป็นนักแข่งรถ สัมผัสของความเร็วและความลุ้นระทึกที่มาคู่กับการซิ่งสายฟ้าแลบ ดังนั้น เขาก็เลยต้องการรถจริงๆ ที่ขับโดยอดีตนักแข่ง เพื่อมาจำลองประสบการณ์การแข่งรถ”

การจัดการกับความท้าทายด้านโลจิสติกของ Gran Turismo ไม่ว่าจะเป็นการหารถยนต์ นักแข่ง สนามแข่ง และนำองค์ประกอบเหล่านั้นมารวมกัน เป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมงานสร้างแมทท์ เฮิร์สช์

“แค่ได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอะไรที่ท้าทาย และนั่นก็เป็นอะไรที่ดึงดูดใจมากๆ สำหรับผม” เฮิร์สช์ “แล้วผมก็ได้พบกับนีลล์ เขาบอกผมว่าเขาอยากจะทำทุกอย่างจริงๆ และผมก็อ้าปากค้างเลย เราจะทำได้ยังไง เราจะให้นักแสดงนั่งไปในรถแข่งที่แล่นไปตามสนามแข่งด้วยความเร็ว 140 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ยังไง มันปลอดภัยรึเปล่า เราจะทำแบบนั้นได้มั้ย สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ท้าทายอยู่แล้วกลับยิ่งท้าทายมากขึ้นไปอีก เมื่อเราต้องคิดหาวิธีในการทำให้วิสัยทัศน์ของนีลล์ที่มีต่อหนังเรื่องนี้กลายเป็นจริง”

วิธีการที่ทำให้ฉากต่างๆ เกิดขึ้นในรถที่ซิ่งสายฟ้าแลบได้คือการสร้างรถพ็อด มีการดัดแปลงแผงควบคุมของรถแข่งให้สามารถควบคุมได้ด้วยแผงควบคุมบนหลังคารถ ที่ซึ่งนักขับรถสตันท์มากประสบการณ์จะเป็นคนขับรถ ส่วนนักแสดงก็จะแสดงอยู่บนเก้าอี้คนขับตามปกติ พร้อมกับพวงมาลัย เกียร์และคันเร่งของปลอม วิธีนี้ทำให้นักแสดงมีปฏิกิริยาที่สมจริงต่อการเดินทางด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา

อย่างไรก็ดี ขั้นแรก เฮิร์สช์จะต้องรวบรวมรถต่างๆ และการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องอาศัยรถแบบละสามคัน ซึ่งก็คือรถพระเอก ที่กล้องจะถ่ายแบบระยะประชิดและจะขับโดยนักขับรถสตันท์ รถสำรองเผื่อเกิดการชนขึ้นมา และรถพ็อดคันที่สาม

รถที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ระหว่างการแข่งขันแกรนด์ ทัวริงรวมถึง:

  • Nissan GT-R NISMO GT3
  • Lamborghini Huracan GT3
  • Chevrolet Corvette C8.R GT3
  • Audi R8 LMS GT3
  • Ferrari 488 GT3 EVO
  • Porsche 911 GT3 R
  • McLaren 720S GT3
  • BMW M6 GT3
  • Aston Martin Vantage V8
  • Lexus RC-F GT3
  • Chevrolet Camaro GT3
  • Ford Mustang GT3
  • Ford GT

นอกจากนั้น ที่สนามเลอม็อง นักแข่งรถยังได้ขับรถโปรโตไทป์หลายคันที่ออกแบบมาเพื่อนักแข่งที่หนุ่มแน่นกว่าโดยเฉพาะ:

  • Ligier JS PX
  • Ligier JS P320
  • Ligier JS P2
  • Norma M30

ด้วยการที่รถบางแบบมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคัน ทำให้รวมแล้วมีรถพระเอก 22 คันและมีรถทั้งหมดในกลุ่ม 65 คัน 

Behind the Scenes: How Gran Turismo captured real racing using the VENICE 2

การรวบรวมรถเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น “รถพวกนี้ไม่เหมือนรถที่วิ่งตามท้องถนนทั่วๆ ไป ที่คุณจะสามารถนำมันออกวิ่งได้หลายๆ ชั่วโมงโดยที่ไม่เป็นอะไร” เฮิร์สช์กล่าว “รถพวกนี้ต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น เราก็เลยต้องรวบรวมทีมช่างเครื่องและช่างเทคนิคที่มีความสามารถและทีมคอมพิวเตอร์ที่จะสามารถจัดการกับรถพวกนี้ได้ทุกวันและทำให้เราลงสนามได้เรื่อยๆ” สรุปแล้วทีมงานประกอบไปด้วยผู้คนมากถึง 500 ชีวิต ที่ต้องย้ายกองจากสถานที่ถ่ายทำแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง จากบูดาเปสต์ สู่เยอรมนี ออสเตรีย สโลวาเกีย ดูไบและโตเกียว

รถเหล่านี้ถูกขับโดยทีมนักขับรถสตันท์ที่น่าทึ่ง ที่นำทีมโดยยานน์ มาร์เด็นเบอระ ผู้ลงแข่งในบทของยานน์ มาร์เด็นเบอระ “ฝีมือของนักขับรถสตันท์ที่เราสามารถรวบรวมมาได้สำหรับหนังเรื่องนี้น่าอัศจรรย์ใจมาก” เฮิร์สช์กล่าว “บางคนก็เป็นนักแข่งจริงๆ ที่ลงแข่งในสนามแข่งรถ ในขณะที่หลายๆ คนเป็นนักขับรถสตันท์ที่น่าทึ่ง ที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 40 ปีแล้ว ผมคิดว่าสำหรับคนพวกนี้ โอกาสในการได้เข้าไปอยู่ในรถแข่งจริงๆ และได้ลงแข่งในสนามหกแห่งทั่วโลกเป็นเรื่องที่วิเศษสุด”

นอกจากนี้ เฮิร์สช์ยังได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้างมาร์ติน วิสต์ ผู้เปลี่ยนฮังการอริง ซึ่งเป็นสนามแข่งฟอร์มูลา 1 ให้กลายเป็นเลอม็อง หนึ่งในสนามแข่งที่โด่งดังที่สุดของโลก “มาร์ตินมีวิสัยทัศน์ที่เหลือเชื่อ เขามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆ มองไม่เห็น” เฮิร์สช์กล่าว “งานออกแบบฉากของเขาน่าตื่นตาตื่นใจ ทีมงานของเรามีนักขับรถหลายคนที่แข่งที่นั่นและมีอีกหลายคนที่เคยไปที่นั่น ทุกคนทึ่งกับแนวทางที่มาร์ตินเปลี่ยนฉากนี้ให้กลายเป็นเลอม็องได้ ไม่ใช่แค่ส่วนของพิทและโรงรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสนามแข่งทั้งหมดและโพเดียมด้วย มันน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ”

ในการบันทึกภาพการซิ่งที่เข้มข้น บลอมแคมป์ได้ใช้เทคนิคที่ทันสมัยหลายอย่าง “ผมอยากจะนำเสนอภาพของการแข่งรถความเร็วสูงในรูปแบบที่ผู้ชมสัมผัสได้” เขากล่าว “ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกิดจากตัวเลือกเกี่ยวกับกล้อง” บลอมแคมป์ และผู้กำกับภาพฌาคส์ โจฟเฟร็ท ได้ใช้โดรนบุคคลที่หนึ่ง (เอฟพีวี) ในการบันทึกภาพเคลื่อนไหว “นักแข่งโดรนใช้โดรนพวกนี้ ซึ่งเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของเรา และก็โชคดีสำหรับเราที่โดรนพวกนั้นไม่ค่อยจะถูกใช้ในการแข่งรถมาก่อน” บลอมแคมป์กล่าว “โดรนเอฟพีวีของเราทำให้เราได้มุมมองแบบอยู่ใจกลางการเคลื่อนไหวที่แจ่มชัดที่สุด นอกจากนั้น สไตล์การถ่ายทำที่ผมชื่นชอบคือการใช้กล้องห้อยต่ำมากๆ ติดไว้บนหัวรีโมตที่อยู่ด้านหน้ายานพาหนะความเร็วสูง เป็นเหมือนรถกล้องที่คอยถ่ายทำรถหลัก ด้วยความเร็วพอๆ กัน ด้วยความที่มันอยู่เหนือพื้นดินเพียงไม่กี่นิ้ว ความเร็วก็เลยถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี”

“โดรนเป็นไอเดียของนีลล์มาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อแสดงการแข่งรถให้ผู้ชมได้เห็นในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากๆ และเป็นรูปแบบที่ไม่เคยถูกใช้มาก่อนสำหรับงานแบบนี้” โจฟเฟร็ทกล่าว “เป็นเรื่องสำคัญสำหรับนีลล์ที่รถจะต้องพุ่งไปด้วยความเร็วจริงๆ แบบเต็มที่ แต่ผมจะใช้ยานพาหนะอะไรในการแบกกล้องที่จะติดตามรถพวกนั้นได้ทันล่ะ โดรนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์ได้ เพราะเราสามารถจัดวางโดรนหลายตัวให้อยู่ในตำแหน่งต่างๆ รอบสสนาม ดังนั้น โดรนแต่ละตัวก็จะมีอาณาเขตของตัวเองและนีลล์ก็สามารถนำเสนอภาพรถที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนั้นได้ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่ผู้ชมเคยเห็นมาก่อน”

ถึงแม้ว่าการนำเสนอแอ็กชันความเร็วสูงจะสำคัญแค่ไหน บลอมแคมป์ยังต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกแบบเซนที่นักแข่งสัมผัสได้ “นักขับรถพูดถึงการอยู่ในรถ คุณนั่งอยู่บนที่นั่งนานมากๆ ร่างกายคุณเหนื่อยแสนสาหัส รู้สึกเจ็บปวด หลังคุณปวดหนึบ มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อ แต่คุณก็ต้องก้าวผ่านเรื่องทั้งหมดนั่นให้ได้ แล้วพวกเขาก็พูดถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ระหว่างที่กำลังขับรถอยู่” เขากล่าว “ในตอนที่เราอยากจะนำเสนอเรื่องนั้น เราก็เปลี่ยนจากโดรนเอฟพีวี ซึ่งค่อนข้างจะออกหน้าออกตา ไปเป็นโดรนถ่ายหนัง ซึ่งจะสวยงามและนิ่งๆ มากกว่า”

“มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อทีเดียวเพราะเทคโนโลยีโดรนช่วยเสริมสร้างมิติให้กับการถ่ายทำในแบบที่ไม่สามารถทำได้เมื่อกว่าสิบปีก่อน” เบลเกรดกล่าว “มุมมองที่คุณสามารถได้จากโดรนพวกนี้และความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกมัน ซึ่งเร็วพอๆ กับรถแข่ง เป็นอะไรที่พิเศษสุด พวกมันสามารถแทรกตัวไปมาระหว่างรถแข่งต่างๆ ได้ คุณสามารถบังคับพวกมันด้วยการใช้มุมมองของพวกมัน เหมือนกับว่าคุณกำลังเลี้ยวไปตามสนามแข่งและหักโค้งด้วยความเร็วสูงน่ะ”

ข้อยกเว้นคือครั้งแรกที่ยานน์ก้าวจากคอนโซล วิดีโอเกมสู่รถจริงๆ “นีลล์ต้องการให้ผู้ชมสัมผัสถึงส่วนนั้นของเรื่องราวในแบบเดียวกับที่ยานน์ได้สัมผัส” โจฟเฟร็ทกล่าว “ทุกอย่างมาจากมุมมองของเขา ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ เรื่องแปลกสำหรับเขา ไม่ใช่แค่จากจุดยืนด้านอารมณ์เท่านั้น แต่จากจุดยืนด้านกายภาพด้วย ดังนั้น เราก็อยากจะอยู่กับเขาตลอดเวลา”

ความทุ่มเทที่มีให้กับความสมจริงยังครอบคลุมไปถึงเรื่องเครื่องแต่งกายด้วย “ไม่เคยมีการตั้งคำถามเลยว่าเราจะใช้ชุดแข่งอะไร” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทอร์รี แอนเดอร์สันกล่าว “ชุดพวกนี้เป็นชุดแข่งจริงๆ ที่ได้รับการรับรองจากเอฟไอเอ ส่วนอุปกรณ์ทุกชิ้นก็ป้องกันไฟได้”

สำหรับมาเด็ควี การใส่ชุดแข่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการค้นหาตัวละคร “นั่นมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับชุด” เขากล่าว “ทันทีที่คุณใส่ชุดแข่ง ทันใดนั้นคุณก็จะตระหนักได้ว่าคุณไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไปแล้ว ชุดนี้มีความเฉพาะเจาะจงมากๆ มันจะส่งผลต่อลักษณะที่คุณยืน ลักษณะที่คุณวางตัว แล้วพอคุณสวมหมวกกันน็อค ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกกันออกไป คุณจะอยู่ข้างในจิตใจของตัวเอง จะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง มันเหมือนกับว่าคุณจะได้ยินเสียงความคิดของตัวเองดังขึ้น ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณเอง มันเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของตัวละครอย่างสิ้นเชิง และผมคิดว่าจังหวะที่ผมค้นพบตัวเขาจริงๆ คือการทดลองชุดครั้งแรก…ตอนที่ผมสวมชุดแข่งนั้นเป็นครั้งแรก”

Gran Turismo เปิดฉายรอบพิเศษ 24 – 30 สิงหาคม ฉายจริง 31 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

Gran Turismo

Genre: biographical sports drama
Country: สหรัฐอเมริกา
Language: ภาษาอังกฤษ
Director: Neill Blomkamp
Screenwriters: Jason Hall และ Zach Baylin
Based on Gran Turismo by PlayStation Studios
Producers: Doug Belgrad, Asad Qizilbash, Carter Swan, Dana Brunetti
Actors: David Harbour, Orlando Bloom, Archie Madekwe, Darren Barnet, Geri Halliwell Horner, Djimon Hounsou
Cinematographer: Jacques Jouffret
Editor: Colby Parker, Jr.
Music: Lorne Balfe และ Andrew Kawczynski
Running Time: 134 minutes
Production company: Columbia Pictures, PlayStation Productions, 2.0 Entertainment, Trigger Street Productions
Distributors: Sony Pictures Releasing

Previous

My Sails Are Set เพลงธีมของนามิ ได้ Aurora ร้องประกอบซีรีส์ One Piece

SAMMii ปล่อยเพลง Dear, Pluto จดหมายจ่าหน้าซองถึงพลูโต ดาวเคราะห์แคระที่อยู่นอกวงโคจร

Next