หากจะบอกว่า 20 ปี เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานก็ว่าได้ แต่ถ้าหากบอกว่าเป็นช่วงเวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะเมื่อเราต่างใช้ชีวิตมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้นในอดีต หรือแม้กระทั่งการเลือกเปิดภาพยนตร์ดูสักเรื่อง ก็อาจจะทำให้คุณหวนคิดถึงเรื่องราวในช่วงเวลานั้นของตัวเองเป็นแน่แท้
สำหรับ Lost in Translation เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ครบรอบ 20 ปี ในปี 2023 หลังจากฉายครั้งแรกในงาน Telluride Film Festival และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อเมริกาในวันที่ 12 กันยายน 2003 และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย วันที่ 12 มีนาคม 2004 ได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้ Sofia Coppola ผู้กำกับ คว้ารางวัลออสการ์สาขาบทดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Score) ไปครองในปี 2004 และนักแสดงนำทั้งสองคนก็คว้ารางวัล BAFTA ในสาขานักแสดงนำกลับไปด้วยเช่นกัน
“เราเคยพูดกันเสมอว่าเราจะจัดงานครบรอบ 16 ปีของ Lost in Translation แต่เราไม่ได้ไปที่นั่น (ญี่ปุ่น) เลย” Sofia Coppola บอกกับ Harpers Bazaar ในคราวที่เธอรับเป็นผู้กำกับหนังสั้นเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปี ของ Suntory ในปี 2023 “มันเป็นเรื่องดีมากๆ ที่ได้กลับมา ฉันไม่ได้กลับและเจอกับเพื่อนๆ ที่ฉันรู้จักตั้งแต่ตอนอายุ 20 ปี ที่ใช้เวลาในญี่ปุ่น” เธอยังบอกต่อด้วยว่า “ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นเสมอ และฉันไม่เคยเบื่อที่จะไปโตเกียวและญี่ปุ่นเลย ฉันรักวัฒนธรรมและประเทศนั้นมาโดยตลอด”
และในฐานะของผู้กำกับ เมื่อมองย้อนกลับไปถึงการสร้างภาพยนตร์และแนวคิดชั้นแรกที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โซเฟียบอกว่า ในภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะทำตามสัญชาตญาณและทำในสิ่งที่ตัวเองรัก “คือคุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนอื่นจะชอบอะไร คุณก็แค่หวังว่าพวกเขาจะชอบมัน ตอนนั้นฉันคิดว่า จะมีใครจะรู้สึกรีเลทหรือสนใจหนังเรื่องนี้ไหม แล้วฉันก็ประหลาดใจมากๆ ที่คนชอบมัน คุณแค่ต้องหวังว่าคนอื่นจะเชื่อมต่อกับมันด้วย มันมีบางอย่างที่เกี่ยวกับบางสิ่งที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ยิ่งคนทั่วโลกเชื่อมต่อกับมันมากขึ้นนะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่ฉันคิดว่าฉันได้เรียนรู้แล้ว”
Lost in Translation เป็นหนังที่ทำงานกับผู้ชมอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ฉายครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ หรือเพิ่งได้รับชมบนสตรีมมิ่งในช่วงเวลาไม่นานมานี้ แม้ว่าหน้าหนังจะทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนในพื้นที่ที่ไม่มีใครใช้ภาษาเดียวกับพวกเขา พร้อมกับความรู้สึกหลงทางในช่วงวัยที่แตกต่างกันออกไป
จุดเริ่มต้นในไอเดียของภาพยนตร์เรื่องนี้ เริ่มต้นมาจากตอนที่โซเฟียเห็น Charlie Brown (ชื่อเล่นของ Fumihiro Hayashi) ร้องเพลง ‘God Save the Queen’ ที่คาราโอเกะ และเธอเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเธอเอง “ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนช่วงอายุ 20 ปี ในโตเกียว ฉันอยากจะสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของการอยู่ที่นั่นจริงๆ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น คือตอนนั้นฉันเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานแล้วก็รู้สึกโดดเดี่ยว ฉันอยู่ในช่วงที่รู้สึกไม่แน่ใจในตัวเองว่าเลือกถูกทางแล้วรึเปล่า หรือตัวเองกำลังจะทำอะไรช่วงหลังเรียนจบและเริ่มต้นชีวิตผู้ใหญ่” โซเฟียบอกกับ Little White Lies นอกจากนี้แล้วเธอยังได้อิทธิพลจากความสัมพันธ์ของ Lauren Bacall และ Humphrey Bogart ในภาพยนตร์เรื่อง The Big Sleep อีกด้วย และนั่นถือเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ที่เธอตามหาด้วย
สำหรับชื่อเรื่อง Lost in Translation หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่ามันมีความหมายอะไรกันแน่ วลีนี้เป็นการสื่อถึงการที่คนอื่นไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังพูดอยู่ เพราะพวกเขามีมุมมองเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป แทนที่จะเป็นความแตกต่างในภาษาที่ใช้สื่อสารกัน อย่างที่เราจะเห็นได้จากในตัวภาพยนตร์ ทั้งฝั่งของชาร์ล็อตต์ ที่จอห์น สามีของเธอ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะบอก ไม่เข้าใจทั้งการใช้ชีวิต และไม่แม้แต่สนใจความเป็นอยู่ของเธอ ทั้งที่อยู่ด้วยกันในญี่ปุ่นเพราะอาชีพของจอห์น หรือจะเป็นฝั่งของบ็อบ ที่อยู่ในช่วงขาลงของอาชีพนักแสดง ความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวก็ไม่ได้ราบรื่น อีกทั้งยังต้องมาทำงานต่างบ้านต่างเมือง และเมื่อพวกเขาทั้งสองคนมาเจอกัน พวกเขาจึงรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ช่วงเวลาไม่กี่วันของบ็อบในญี่ปุ่น จะเปลี่ยนชีวิตของชาร์ล็อตต์หรือไม่ ไม่มีใครบอกได้ แต่ชั่วขณะนั้น คือช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ ช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งคู่รู้สึกราวกับว่า มีคนเข้าใจเขาเสียที แม้จะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันก็ตาม
นอกจากนี้แล้ว เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้คงอยู่ที่กลิ่นอายของยุค 2000 และเสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่น ความอนาล็อกที่หาไม่ได้จากในยุคปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ เครื่องแฟกซ์ ถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม (แม้ว่าในช่วงเวลานั้นจะเป็นรอยต่อของกล้องฟิล์มและกล้องดิจิทัลก็ตาม) ดูทีวีผ่านจอตู้ ดูหนังผ่านแผ่นซีดีหรือดีวีดี หรือแม้กระทั่งการฟังเพลงผ่านวอล์กแมน ยิ่งในยุคที่โหยหาอดีตในช่วงเวลาอย่าง Y2K การกลับมารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง ก็คงจะทำให้คุณรู้สึกอิน และคิดถึงวันวานได้อย่างแน่นอน
Lost in Translation กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งในวันที่ 28 กรกฎาคม 2023 ที่ House Samyan เท่านั้น
Sources:
- https://lwlies.com/articles/sofia-coppola-lost-in-translation-interview/
- https://web.archive.org/web/20200611041422/https://www.filmmakermagazine.com/archives/issues/fall2003/features/tokyo_story.php
- https://www.focusfeatures.com/article/lost-in-translation_15-anniversary
- https://www.gradesaver.com/lost-in-translation-2003-film/study-guide/directors-influence
- https://www.harpersbazaar.com/culture/film-tv/a43977665/sofia-coppola-suntory-whiskey-tribute-interview/
- https://www.lost-in-translation.com/qa.html