20 ปี Lost in Translation รวม 20 เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับหนัง หลง / เหงา / รัก

| |

เมื่อความเหงาและความรู้สึกหลงทาง สามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านภาพยนตร์ Lost in Translation ภาพยนตร์จาก Sofia Coppola ที่พาคุณติดตาม บ็อบ แฮร์ริส นักแสดงหนังที่บินมายังโตเกียวเพื่อถ่ายโฆษณาวิสกี้ที่อยู่ในช่วงสับสนและรู้สึกหลงทางกับชีวิตของเขา และชาร์ล็อตต์ หญิงสาวที่เดินทางมาญี่ปุ่นกับสามี และยังคงไม่รู้ว่าชีวิตของเธอจะเดินเส้นทางไหนต่อไป

นับเป็นเวลา 20 ปี ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายเป็นครั้งแรกและได้รับเสียงตอบรับอย่างดีมาโดยตลอด และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงติดอยู่ในใจของผู้ชมมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมที่เคยรับชมบนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่และซึมซับไปกับสิ่งที่โซเฟียต้องการจะเล่าเรื่อง หรือจะเป็นผู้ชมที่รับชมผ่านสตรีมมิ่งต่าง แต่ก็ยังคงสัมผัสความรู้สึกเช่นเดียวกันได้นั่นเอง

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี Lost in Translation ทาง The Noize Team ร่วมด้วยกับ หนัง หนั่ง หนั้ง หนั๊ง หนั๋ง อยากที่จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับภาพยนตร์เรื่องนี้กันให้มากขึ้นกันอีกสักหน่อย

1. จุดเริ่มต้นของ Lost in Translation 

ในช่วงวัย 20 ปีของ Sofia Coppola เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ขายเสื้อผ้าแฟชั่นอยู่ที่นั่น “ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนช่วงอายุ 20 ปี ในโตเกียว ฉันอยากจะสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของการอยู่ที่นั่นจริงๆ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น คือตอนนั้นฉันเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานแล้วก็รู้สึกโดดเดี่ยว ฉันอยู่ในช่วงที่รู้สึกไม่แน่ใจในตัวเองว่าเลือกถูกทางแล้วรึเปล่า หรือตัวเองกำลังจะทำอะไรช่วงหลังเรียนจบและเริ่มต้นชีวิตผู้ใหญ่” โซเฟียบอกกับเว็บไซต์ Little White Lies

นอกจากนี้แล้ว เธอเองก็ยังมีกลุ่มเพื่อนญี่ปุ่นของเธอ ซึ่งประสบการณ์ที่เธออยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็จุดประกายไอเดียในการสร้าง Lost in Translation ขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่เธอเห็น Charlie Brown หรือ Fumihiro Hayashi เพื่อนสนิทของเธอที่ญี่ปุ่น ร้องเพลง ‘God Save the Queen’ ในคาราโอเกะ และเธอก็หยิบเข้ามาใส่ในภาพยนตร์ด้วย

รวมไปถึงการที่เธอได้รับอิทธิพลจากความสัมพันธ์ของ Lauren Bacall และ Humphrey Bogart ในภาพยนตร์เรื่อง The Big Sleep และนั่นถือเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ที่เธอตามหาด้วย

2. ชื่อเรื่อง Lost in Translation ไม่ได้มาตั้งแต่เริ่มต้น

หลายๆ ครั้งเราจะเห็นว่าภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง มีชื่อมาก่อนตัวบท แต่สำหรับ Lost in Translation นั้น ได้ชื่อเรื่องมาทีหลัง โซเฟีย คอปโปล่า บอกกับเว็บไซต์ greg ว่า “ฉันยังไม่มีชื่อหนังเลยนะ ตอนที่กำลังทำมันอยู่ แล้วก็มีคนแนะนำ Hiroshima, Mon Amour มา แต่ว่ามันเป็นเรื่องราวของโตเกียวนี่สิ จากนั้นฉันก็เลยนึกถึง Lost in Translation ฉันชอบมากเลยนะ มันเหมือนกับหนังสือ”

3. ถ้าไม่ใช่ Bill Murray รับบท Bob Harris ภาพยนตร์ก็จะไม่เกิดขึ้น

ตั้งแต่เริ่มเขียนบท ในหัวของโซเฟียมีภาพของ Bill Murray เป็น Bob Harris อยู่ตลอดเวลา และไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่ได้บิลมาเป็นบ็อบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากที่เธอเขียนบทเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับจากบิล โซเฟียยังบอกกับสการ์เล็ตอีกด้วยว่า ถ้าเกิดไม่ใช่บิล เมอร์เรย์ มาเล่นเรื่องนี้ เธอก็จะไม่ทำหนังเรื่องนี้

โซเฟียเป็นแฟนผลงานของบิล เมอร์เรย์ เธอบอกว่า “มันคงจะตลกดีที่จะจับเขาใส่ชุดทักซิโด้ เพราะว่าฉันไม่ค่อยได้เห็นเขาใส่นะ มันมีหลายสิ่งอย่างอย่างที่โยนเข้าใส่บิลแล้วก็ได้เห็นการตอบสนองของเขา อย่างตอนถ่ายแบบ เราใช้ช่างภาพตัวจริง และบอกให้เขารู้ มันสนุกมากที่ได้เห็นบิลทำในสิ่งที่ไม่มีใครบอกเขา แล้วก็ฉันชอบที่จะได้เห็นเขาร้อง คาราโอเกะมันเป็นเรื่องสนุกเสมอในโตเกียว และฉันรู้ว่าเขาจะต้องทำภารกิจตามนี้”

สำหรับ Bill Murray นั้น เขาตกลงรับเล่นเรื่องนี้หลังจากได้รับสคริปต์จาก Wes Anderson ผู้กำกับที่บิลเคยทำงานด้วย และ Mitch Glazer เพื่อนของเขาที่เป็นเพื่อนของโซเฟีย และในเดือนกรกฎาคม 2002 ทั้งโซเฟียและบิลก็ได้พบกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาตกลงที่จะทำงานกับเธอ เพราะว่าเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำให้เธอผิดหวังได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บิลก็ไม่ได้เซ็นสัญญาตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร

โซเฟียบอกว่าตอนนั้นบินไปโตเกียวและใช้เงินด้วยความหวังว่าบิลจะมาปรากฎตัว หลายๆ คนก็พยายามให้เธอมองหาออฟชั่นอื่น แต่เธอก็บอกว่าเธอจะไม่สร้างหน้าถ้าเกิดเขาไม่ตกลงเล่น ฉันอยากสร้างหนังเรื่องนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องหาเขาให้พบ และท้ายที่สุด บิลก็โผล่มา

Lost in Translation - Focus Features [Bill Murray and Scarlett Johansson]
Lost in Translation – Focus Features
[Bill Murray and Scarlett Johansson]

4. ทำไมต้องเป็น Scarlett Johansson มารับบท Charlotte

สการ์เล็ตเป็นนักแสดงคนแรกที่เซ็นสัญญาในหนังเรื่องนี้ด้วยบทของ Charlotte หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบและไม่มั่นใจในการแต่งงานระหว่างเธอกับช่างภาพหนุ่ม โซเฟียรู้เลยว่าสการ์เล็ตจะต้องมารับบทนี้หลังจากได้เห็นเธอแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Manny and Lo ที่ตอนนั้นเธออายุแค่ 12 ปี

“เธอมีเสียงแหบแห้ง (husky voice) และดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุของเธอ มันคือความโดดเด่นของเธอ และฉันรู้สึกเชื่อมไปกับมัน เธอสามารถถ่ายทอดออกมาได้มากมายโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย ฉันไม่แปลกใจเลยที่เธอได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายหลังจากนั้น แต่ฉันก็แปลกใจเมื่อมองย้อนกลับไปว่าตอนนั้นเธอเด็กแค่ไหน ตอนนั้นเธอแค่อายุ 17 ปีเท่านั้นเองนะ”

“ฉันพบกับโซเฟียในร้านอาหารที่นิวยอร์ก” สการ์เล็ตบอกกับเว็บไซต์ phase9 “เธอบอกว่าเธอมีไอเดียที่กำลังจะกลายเป็นบทหนังโดยมีบิล เมอร์เรย์ อยู่ในนั้น และถ้าไม่ใช่บิล เมอร์เรย์ เธอก็จะไม่ทำมัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้น ตอนอยู่ในโตเกียว มันมีสองสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับฉัน นั่นก็คือโตเกียวและบิล เมอร์เรย์ ฉันก็เลยขอให้เธอส่งสคริปต์มาให้ฉันหลังจากที่เธอเขียนเสร็จแล้ว แล้วพอสคริปต์มาถึง ฉันก็รู้ทันทีเลยว่านี่คือโปรเจ็กต์ที่ฉันอยากจะมีส่วนร่วมด้วย มันเป็นสคริปต์ที่สวยงามมาก ทุกอย่างอยู่ในนั้น มีแค่เพียง 75 หน้า ส่วนมากเป็นภาพที่เห็นเป็นภาพสุดๆ แล้วก็มีบทสนทนาระหว่างบิลกับฉัน แบบ ฉันมีหนึ่งบรรทัด เขามีหนึ่งบรรทัด มันดีมาก เหมือนกับนิยายเรื่องหนึ่ง พออ่านจบฉันก็รู้สึกเศร้าและมีความสุข ฉันรู้เลยตอนนั้นว่าฉันอยากเล่นบทนี้”

สการ์เล็ตบอกว่าตอนที่ถ่ายที่ญี่ปุ่นมันสนุกมาก ทำงานกันเยอะมากและเธอไม่มีเวลาว่างเท่าไหร่นอกจากวันหยุดของเธอ “ฉันนอน แล้วก็ออกไปช้อปปิ้ง กินอาหารญี่ปุ่น แต่ฉันหวังนะว่าจะมีเวลามากกว่านี้ที่จะได้ประสบการณ์ดีๆ เพราะว่าฉันเคยได้ยินว่าถ้าเกิดคุณรู้จักผู้คนเยอะๆ ที่นั่น คุณสามารถค้นพบสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ความวุ่นวายได้”

5. งานภาพที่ให้ความเป็นโตเกียวดรีมป๊อป

“ตอนที่ฉันเริ่มทำหนังเรื่องนี้ ฉันมีหนังสือเกี่ยวกับภาพต่างๆ ที่นึกถึงภาพยนตร์และเก็บภาพอ้างอิงพวกนั้นเอาไว้เพื่อเอาให้คนอื่นดูได้” โซเฟียบอกกับ The Daily Beast “มันก็มักจะเป็นภาพสแนปช็อตรอบๆ โตเกียว มองออกไปนอกรถแท็กซี่ เห็นแสงนีออนผ่านไปผ่านมา ฉันเคยพักที่ Park Hyatt Tokyo ก็เลยมีภาพวิวจากบาร์ของโรงแรม มีนักร้องสาวผมแดงอยู่ด้วย”

โซเฟียยังเลือกภาพตัวอย่างที่เธอต้องการ ให้ Lance Acord ผู้กำกับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดูกันอีกด้วย “ฉันคิดในใจนะ มันเป็นความรู้สึกเหมือนฝันตอนที่คุณเจ็ทแล็ก มันเต็มไปด้วยไฟนีออนและให้ความรู้สึกแบบ Blade Runner” เธอยังบอกอีกว่าเพลงต่างๆ ระหว่างที่ถ่ายทำและตอนเขียนบทด้วย มันเป็นเพลงที่สอดรับกับความรู้สึกของฉันในตอนนั้น สิ่งต่างๆ กับความรู้สึกของโตเกียวดรีมป๊อป พอรวมกับภาพเหล่านั้นแล้ว และความรู้สึกแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วพวกดนตรีที่ชวนฝัน มันยิ่งทำให้รู้สึกโรแมนติกขึ้น”

6. จาก Tokyo Dream Pop Mixtape สู่เพลงประกอบภาพยนตร์

ดนตรีและเพลงประกอบคือส่วนสำคัญของภาพยนตร์ไม่แพ้กัน สิ่งแรกที่โซเฟียต้องการก็คือการสร้างความรู้สึกที่ขาดการเชื่อมโยง ความรู้สึกของการอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคยและแปลกแยก จนกระทั่งได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้อง เธอบอกกับนิตยสาร the Los Angeles Times ว่า “ฉันอยากที่จะสร้างเรื่องราวที่มีอารมณ์หม่นๆ เศร้าๆ ให้กับการเล่าเรื่อง ฉันก็เลยขอให้ไบรอันช่วยมิกซ์เพลงให้ฟังในขณะที่ฉันเขียนบท”

Brian Reitzell ผู้ดูแลด้านดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เคยเดินทางไปโตเกียวมาแล้ว และรู้ว่าโซเฟียต้องการที่จะสื่ออะไร “ผมทำมิกซ์เทปขึ้นมาสามอัน เรียกว่า ‘Tokyo Dream Pop 1, 2, 3’ แล้วก็เอาให้กับเธอ” 

โซเฟียก็ได้บอกด้วยว่า “เขาถ่ายทอดสิ่งที่สวยงามด้วยดนตรีที่ฉันไม่สามารถสื่อมันออกมาได้ด้วยคำพูดและรูปภาพ เขาทำให้มันมหัศจรรย์ขึ้น”

7. ใช้เวลาถ่ายทำแค่ 27 วันเท่านั้น

Lost in Translation เริ่มถ่ายทำกันในวันที่ 29 กันยายน 2022 และใช้เวลาถ่ายทำแค่เพียง 27 วันเท่านั้น โดยโลเคชั่นหลักๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้จะอยู่ที่โตเกียว ในย่านชิบูย่า และชินจูกุ แหล่งรวมธุรกิจและบันเทิงขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยผู้คนบนรถไฟที่แน่นขนัด และโรงแรม Park Hyatt Tokyo โรงแรมหลักในการถ่ายทำ

พวกเขาต้องการจับภาพความเป็นญี่ปุ่น และภาพความทรงจำเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะการถ่ายแบบสแนปช็อต เราจะเห็นได้ในภาพยนตร์ที่ภาพต่างๆ ดูราวกับพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน หากเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น “ฉันกับแลนซ์เคยอยู่ในโตเกียวมาก่อน แล้วก็ชอบภาพลักษณ์ของเมืองมากๆ มันมีความเป็นธรรมชาติที่เราต้องการรวบรวมไว้อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้” โซเฟียบอกกับบทสัมภาษณ์ของ Focus Features 

สถานที่หลักๆ ที่พวกเขาใช้ในการถ่ายทำอยู่ในโตเกียวเป็นหลัก ทั้งในย่านชิบูย่าและย่านชินจูกุ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม Park Hyatt Tokyo และ New York Bar ชั้น 52 รวมไปถึงร้านชาบูสุกี้ยากี้ที่มีชื่อว่า ‘Shabu Zen’ สาขาชิบูย่า ร้าน Karaoke-Ken สาขาชิบูย่า หรือจะเป็นวัด Joganji Temple ในชินจูกุ และฉากจบภาพยนตร์ที่ถ่ายในย่านเดียวกัน

Lost in Translation (2003) - 'What Are You Doing Here' Clip

8. นักร้องในเลานจ์คือนักร้องจริงๆ 

ในฉากที่บ็อบเดินทางไปนั่งดื่มใน New York Bar ของโรงแรม Park Hyatt Tokyo จะมีนักร้องร้องเพลงอยู่ในบาร์ และนักร้องคนนั้นคือ Catherine Lambert เธอเป็นนักร้องจริงๆ และเคยเห็นเธอร้องเพลง Scarborough Fair ของ Simon & Garfunkel ในโรงแรมนี้เมื่อหนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายภาพยนตร์ หลังจากนั้น เธอก็ให้ผู้จัดการช่วยหาว่า เธอคนนี้คือใคร ก่อนที่จะแคสต์แคทเธอรีนมาร้องเพลงเดิมใน Lost in Translation

9. ช่างภาพที่มาถ่ายโฆษณาซันโทริคือช่างภาพจริงๆ 

ฉากถ่ายโฆษณา ‘Suntory Time’ นั้น เป็นการอิงมาจากโฆษณาที่พ่อของโซเฟียและคุโรซาวะถ่ายด้วยกัน “โฆษณา Suntory ที่พ่อกับคุโรซาวะทำด้วยกัน ถ่ายที่บ้านของเราในซานฟรานซิสโก แต่พอไปถึงที่ญี่ปุ่น เราก็จะเห็นโฆษณาของ Kevin Costner หรือใครสักคนโปรโมตกาแฟ มันเป็นความคิดของญี่ปุ่นที่มีต่อวัฒนธรรมตะวันตก” เธอยังบอกกับ The Daily Beast ด้วยว่า “ตอนที่ถ่ายนั้นเป็นช่างภาพจริงๆ และฉันก็นั่งอยู่กับช่างภาพ แล้วฉันก็บอกเขา เขาก็พูดซ้ำกับบิล แล้วมันก็เป็นฉากที่บิลด้นสดทั้งฉากเลย”

Lost in Translation (2003) - 'The Rat Pack Photo Shoot' Movie Clip

10. ฉากที่ยากที่สุดคือฉากที่นอนคุยกันบนเตียง

ฉากที่บ็อบและชาร์ล็อตต์นอนคุยกันบนเตียง คือฉากที่ยากที่สุดฉากหนึ่งในการถ่ายทำ “ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาแค่อารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า แต่พวกเขาเข้ากันไม่ได้เลย และมันก็ไปด้วยกันได้ไม่ค่อยดีนัก พวกเราก็เลยหยุดกอง แล้วตัดสินใจลองใหม่อีกครั้งในวันถัดไป” โซเฟียบอกกับ The Daily Beast “ฉันจำได้แค่ว่ามันค่อนข้างเครียด แล้วมันก็เป็นช่วงเวลาที่ใกล้ชิด และเราถ่ายทำเรื่องนี้ในระยะเวลาแค่ 27 วัน และใช้งบประมาณที่ต่ำมาก เพราะงั้นทั้งหมดมันก็เลยเป็นเรื่องยาก และมีอุปสรรคด้านภาษากับทีมงาน และความเข้าใจผิดทางวัฒนธรรมที่นั่นด้วย มันเป็นการผจญภัยที่ยุ่งเหยิง แต่ก็สนุกดี”

11. karaoke party

สำหรับเพลง ‘More Than This’ ของ Roxy Music ที่บ็อบร้องในคาราโอเกะนั้น โซเฟียบอกว่าตอนนั้นเธอและบิลอยู่ในคาราโอเกะแล้วก็คุยกันว่าพวกเขารักอัลบั้ม Avalon ของ Roxy Music แค่ไหน แล้วเธอก็บอกกับบิลว่า “คุณจะร้องเพลงให้ฉันฟังมั้ย” แล้วเขาก็ทำมันจริงๆ “ฉันก็คิดว่า มันน่ารักมากเลยนะที่เราถ่ายทำมันออกมา แล้วเราก็โชคดีด้วยที่ได้รับอนุญาตให้ใช้มันในภาพยนตร์เรื่องนี้”

สำหรับเพลงในคาราโอเกะที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โซเฟียบอกว่าเธอกับไบรอันเลือกเพลงพวกนั้นด้วยกัน “มันเป็นเรื่องยากที่จะหาเพลงให้กับบ็อบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่เขาปล่อยตัวเป็นครั้งแรก” รอสบอกเสริมด้วยว่า “ดนตรีเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของโซเฟียในงานภาพยนตร์ของเธอ ในแง่ของการสร้างมู้ดและโทนเรื่อง เราไปคาราโอเกะในย่านชิบูย่า และได้ดูบิลร้องเพลง “(What’s So Funny ‘Bout) Peace, Love And Understanding” และเพลง “More Than This” มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ”

12. ฉากเปิดของ Lost in Translation ได้แรงบันดาลใจมาจากงานภาพวาดของ John Kacere

โซเฟียมีไอเดียที่เจาะจงมากว่าต้องการที่จะให้ฉากเปิดของหนังเป็นอย่างไร และรวมไปถึงภาพของชาร์ล็อตต์ที่สวมกางเกงในสีชมพูโปร่งแบบนั้น ที่โซเฟียได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานภาพวาดของ John Kacere เขาเป็นที่รู้จักจากการวาดภาพเหมือนจริงของผู้หญิงที่สวมชุดชั้นในแบบต่างๆ

สการ์เล็ตบอกกับ The Guardian ว่า “ฉันบอกโซเฟียว่า ‘ฉันจะใส่กางเกงในนะ ถ้าเกิดมันไม่โปร่ง'” และสุดท้ายแล้วเธอก็ต้องสวมกางเกงในอย่างเดียวเกือบทั้งเรื่อง “ฉันต้องสวมกางเกงในเหมือนในหนังทั้งเรื่อง มันกลายเป็นเรื่องง่ายเลยนะที่จะสวมแค่กางเกงในต่อหน้าชายญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่ มันเป็นทักษะที่ฉันจะไม่ได้ใช้อีก แต่ก็ยอมรับได้นะ แต่มันโปร่งแบบโปร่งมากๆ เลย”

13. Kodak 35mm คือคำตอบในการถ่ายทำ

งานภาพของ Lost in Translation นั้นเต็มไปด้วยแสงนีออน ให้ความรู้สึกเหมือนฝัน ราวกับภาพความทรงจำ ซึ่งมันคือสิ่งที่โซเฟียตั้งใจที่จะให้มันเป็น แม้ว่าพ่อของเธอ Francis Ford Coppola ผู้กำกับใหญ่ ได้แนะนำให้ลูกสาวใช้กล้องวิดีโอดิจิตอลในการถ่ายทำ แต่เธอกลับเลือกใช้ฟิล์ม Kodak 35mm ในการถ่ายทำแทน เพราะมันให้ความรู้สึกถึงความทรงจำได้มากกว่าการถ่ายด้วยกล้องวิดีโอ และเมื่อประกอบเข้ากับการถ่ายภาพที่เลือกใช้แสงธรรมชาติเป็นส่วนมาก และแสงเทียมเป็นส่วนน้อย ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

14. ไม่ได้เป็นทุกข์เพราะงาน แต่แค่เพราะห่างกับแฟน

ในช่วงเวลาที่มีการถ่ายทำ Lost in Translation นั้น มีข่าวลือเกี่ยวกับนักแสดงนำอย่างสการ์เล็ตว่าเธอมีช่วงเวลาที่เป็นทุกข์มากๆ แต่ทางสการ์เล็ตก็ได้เปิดเผยกับ Variety เมื่อปี 2023 ว่า “มันไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่เป็นทุกข์น มันท้าทาย เพราะว่าฉันก็ยังเด็กมาก (ตอนนั้นอายุแค่เพียง 17 ปี) แล้วก็ต้องอยู่ห่างกับแฟนสมัยมัธยมปลายด้วย ฉันค่อนข้างโดดเดี่ยวในสภาพแวดล้อมแบบนั้น แล้วมันก็เป็นงานหนักนะ” เธอบอก “พอมองย้อนกลับไป ทุกอย่างก็รู้สึกเหมือนกับเจ็ตแล็กเลย”

15. 15 ปี Lost in Translation โซเฟียก็ยังคงไม่เชื่อว่าหนังยังคงเชื่อมโยงกับคนหมู่มาก

โซเฟียบอกว่า เธอไม่คาดหวังเลยว่าผู้คนจะเชื่อมโยงกับหนังเรื่องนี้เยอะขนาดนี้ “ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะคิดว่านี่มันเป็นโครงการส่วนตัวที่ทำตามในตัวเองสุดๆ มันยังคงสนุกอยู่นะ ถ้าเกิดมีใครสักคนบอกกับฉันว่าพวกเขายังคงคอนเนคกับมัน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนนั้น การที่ทำอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวมักเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่เสมอ มันมีบางอย่างเกี่ยวกับความไร้เดียงสา ที่ทำให้คุณสามารถกระโจนเข้าไปยังสิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสระ

16. เกือบโดนจับเพราะถ่ายทำในที่สาธารณะ

“เราไม่มีใบอนุญาต แล้วก็ไปถ่ายแค่ในสถานีรถไฟใต้ดินหรือบนถนนนี่แหละ” โซเฟียบอกกับ The DAily Beast “ฉันคิดว่ามียากูซ่าปะปนอยู่ในบางจุด แล้วก็เห็นได้ชัดเลยว่าเราอยู่ในดินแดนยากูซ่าที่เราไม่รู้จัก อย่างภาพที่ชาร์ล็อตต์กำลังเดินข้ามถนน ตรงนั้นมันมีร้านสตาร์บัคส์อยู่ชั้นบน เราก็เลยแอบขึ้นไปที่นั่น ซื้อกาแฟ แล้วก็ถ่ายจากด้านบน คือมันดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นนะ แล้วเราก็ถูกปิดกองบนถนนสองสามครั้ง แต่เราก็แค่เดินหน้าต่อไปนั่นแหละ”

นอกจากนี้แล้ว เรื่องน่าตื่นเต้นในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการโดนยากูซ่าตามล่านั่นเอง โซเฟียบอกว่า “เราแอบถ่ายช็อตเด็ดๆ หลายช็อตอยู่บนถนนนะ แต่แล้ววันนึง โรมัน พี่ชายของฉัน กำลังให้กองถ่ายที่สองถ่ายอยู่ แล้วบังเอิญเจอกับยากูซ่า พวกเขาบอกว่า เราต้องจ่ายเขานะ เพราะว่าพวกเขามีย่านของเขา และนั่นคือจุดสิ้นสุดของย่านนั้น ทีมงานของเราก็เลยช่วยกันนำทางแล้วก็พาเราออกจากย่านยากูซ่าอื่นๆ ด้วย”

17. อยากให้ผู้ชมได้อะไรจากการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้

“ผมหวังว่าผู้คนจะรู้สึกเชื่อมโยงกับมันในแบบที่ผมเป็น” รอสบอกกับ Focus Features “ผมคิดว่ามันไม่สำคัญนะ ว่าคุณจะเป็นตัวละครชาร์ล็อตต์หรือว่าบ็อบ หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ทุกคนอาจจะหลงทางเล็กน้อย และบางครั้ง เราก็พบกับการเชื่อมความสัมพันธ์กับใครบางคนที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจหรือจุดศูนย์กลางให้กับเรา และเป็นสิ่งที่เราจะไม่มีวันลืม” เขายังบอกต่อด้วยว่า “ผมรู้สึกว่า Lost in Translation นั้น นอกจากจะเป็นการสร้างภาพยนตร์ที่สนุกมากๆ แล้ว โซเฟียยังสร้างภาพยนตร์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมาก ทั้งอบอุ่น และชวนให้ครุ่นคิดด้วยประสบการณ์ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้”

“ฉันพูดได้คำเดียวเลยว่าทำไมฉันถึงอยากทำหนังเรื่องนี้” โซเฟียบอก “ก็เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับโตเกียว และการเยี่ยมชมเมือง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลาในชีวิตที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่คงอยู่ มันไม่ได้ไปต่อ แต่คุณก็ยังมีความทรงจำนั้นอยู่เสมอ และมันมีผลกระทบต่อคุณ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดถึงเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้”

18. ฉากรถแท็กซี่ที่ออกจากโตเกียวในตอนท้าย เปรียบเสมือนการบอกลาสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์

“มีบทพูดที่สวยงามในสคริปต์ของโซเฟียที่สรุปประสบการณ์ของบ็อบ แฮร์ริส และอาจจะรวมถึงประสบการณ์ของเราด้วย” รอสบอกกับ Focus Features “ประสบการณ์ไม่สามารถคงอยู่ได้ แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้น หากเป็นสิ่งที่อยู่ได้ มีมิตรภาพมากมายเกิดขึ้นตลอดการถ่ายหนัง เราลงเอยด้วยการจัดงานปาร์ตี้สรามครั้ง เพราะเราต่างไม่อยากปล่อยมือหรือบอกลา ในคืนสุดท้ายของการถ่ายทำของบิล เรารวบรวมทีมงานชาวอเมริกันและชาวญี่ปุ่น จัดปาร์ตี้ที่ร้านอาหารจีน เรามีช่วงเวลาที่ดี บรรยากาศดีมากๆ พลังงานดีสุดๆ ทุกคนอยากไปที่นั่นเพื่อบอกลาบิล บิลและพวกเราก็เต้นรำกันจนถึงตีสี่ครึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้น โซเฟีย ผม แล้วทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง ก็ขึ้นรถไปไปเกียวโต เพื่อถ่ายทำซีเควนซ์ที่เกียวโตทั้งหมด”

19. บ็อบบอกอะไรกับชาร์ล็อตต์

สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามมาตลอด 20 ปีของภาพยนตร์ Lost in Translation ก็คือ บ็อบบอกอะไรกับชาร์ล็อตต์ในตอนท้ายเรื่อง เพราะจากคำบอกเล่าของโซเฟีย เธอไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย “มันเป็นเรื่องราวระหว่างพวกเขา แค่รับรู้ว่าในช่วงสัปดาห์นั้นมันมีความหมายสำหรับพวกเขาทั้งคู่ และส่งผลต่อการกลับไปใช้ชีวิตของพวกเขา”

LOST IN TRANSLATION - "Whisper" Clip

20. 20 ปี Lost in Translation 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ Lost in Translation ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาฉายอีกครั้งให้ทุกคนได้รับชมกันบนจอ โดยจะฉายที่ House Samyan เฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ ที่ 28-30 กรกฎาคม และ 4-6 สิงหาคม 2023 เท่านั้น ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

Lost In Translation (Official Trailer) 28 กรกฎาคม เฉพาะที่ House สามย่าน

Lost in Translation

Genre: romantic comedy-drama
Country: สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น
Language: ภาษาอังกฤษ
Director: Sofia Coppola
Screenwriter: Sofia Coppola
Producers: Ross Katz, Sofia Coppola
Actors: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi, Anna Faris, Fumihiro Hayashi
Cinematographer: Lance Acord
Editor: Sarah Flack
Music: Kevin Shields, Brian Reitzell, Roger Joseph Manning Jr.
Running Time: 102 minutes
Production company: American Zoetrope, Elemental Films
Distributors: Focus Features 

Sources:

  • http://www.phase9.tv/moviefeatures/lostintranslationfeature1.shtml
  • https://cinephiliabeyond.org/lost-translation-sofia-coppolas-poetic-exhibition-love-humor-understanding/
  • https://lwlies.com/articles/sofia-coppola-lost-in-translation-interview/
  • https://scenesfromanimaginaryfilm.wordpress.com/2016/02/21/the-subtle-color-of-loneliness-the-cinematography-of-lost-in-translation/
  • https://shotonwhat.com/lost-in-translation-2003
  • https://web.archive.org/web/20031001195147/http://lost-in-translation.com/qaPopup.html
  • https://web.archive.org/web/20031012025250/http://www.greg.org/sofia_coppola_interview.html
  • https://web.archive.org/web/20200615040620/https://www.latimes.com/archives/la-xpm-2003-sep-11-wk-pop11-story.html
  • https://www.indiewire.com/features/general/lost-in-translation-15th-anniversary-sofia-coppola-interview-ending-whisper-meaning-1201998010/
  • https://www.liveabout.com/bill-murray-on-lost-in-translation-2419436
  • https://www.liveabout.com/scarlett-johansson-on-lost-in-translation-2419437
  • https://www.mentalfloss.com/article/69324/15-found-facts-about-lost-translation
  • https://www.thedailybeast.com/sofia-coppola-discusses-lost-in-translation-on-its-10th-anniversary
  • https://www.theguardian.com/film/2003/dec/28/features.magazine
Previous

Mitski ประกาศอัลบั้มใหม่ The Land Is Inhospitable and So Are We และซิงเกิลแรกอย่าง Bug Like an Angel ออกมาให้ฟัง

MAY-A ปล่อยเพลง Something Familiar จากอัลบั้ม EP ใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Analysis Paralysis’

Next