boygenius กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม the record เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ และมิตรภาพ

| |

เมื่อการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของวงซูเปอร์กรุ๊ปอย่าง boygenius ของ Julien Baker, Phoebe Bridgers และ Lucy Dacus หลังจากที่ปล่อยอัลบั้ม boygenius (EP) ไปเมื่อปี 2018 ในครั้งนี้ พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่อย่าง the record และครั้งนี้พวกเขาเซ็นสัญญากับค่าย Interscope Records สำหรับอัลบั้ม ‘the record’

boygenius รวมตัวกันในปี 2018 และในครั้งนี้ พวกเขากลับมารวมตัวกันเพราะว่าฟีบี้เป็นคนทักหาทุกคนหลังจากที่ปล่อยอัลบั้ม Punisher ไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2022 “ตอนนั้นโควิดเกิดขึ้น แล้วฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่ค่อยจะ superproductive เท่าไหร่” ฟีบี้บอกกับ Rolling Stone “แล้ว boygenius ก็วนอยู่ในความคิดของฉัน แล้วเราก็ส่งข้อความคุยกัน ฉันก็เลยส่งไปแบบ ‘พระเจ้า มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกเนี่ย’ ฉันก็แค่อยากคุยกับเพื่อน หลังจากนั้นก็เลยเริ่มเขียนเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็แบบ ‘นี่มันเพลง boygenius ชัดๆ'” 

ไม่นาน ฟีบี้ก็ส่งเดโมเพลงไปให้อีกสองคนได้ฟัง แล้วจูเลียนก็สร้างโฟลเดอร์บน Google Drive ที่มีชื่อว่า “dare I say it?” เพื่อใช้ในการเขียนเพลงและเพิ่มเพลงเข้าไปด้วยกัน หลังจากนั้นก็สร้างเดโมหลายๆ อันขึ้นมา และตั้งชื่อว่า “boygenius 1” “boygenius 2” “boygenius 3” ไปเรื่อยๆ แต่สำหรับฟีบี้นั้น จูเลียนบอกว่า “ฟีบี้เป็นพวกที่ ‘เธอต้องเริ่มจากการตั้งชื่อเพลงก่อนสิ’” และเพื่อสรุปความกระตือรือร้นของจูเลียนภายในประโยคเดียว เธอก็สรุปตัวเองไว้ว่า “ไอ้คนนี้มันรัก Google Drive มาก” ลูซี่ก็เสริมต่อด้วยว่า “จูเลียนมักเขียนเพลงขึ้นมาแล้วเก็บไว้บน Google Drive แล้วก็ไม่บอกว่ามีเพลงใหม่อยู่ในนั้น จนกว่าเธอจะเอามันมาให้พวกเราดู”

ในการทำอัลบั้มนี้ พวกเขาใช้เวลาไปกับการออกทริปด้วยกันสองรอบเพื่อเขียนเพลงในช่วงปี 2021 และใช้เวลาเกือบทั้งเดือนมกราคม 2022 ในการบันทึกเสียงและใช้ชีวิตใน Shangri-La studio ของ Rick Rubin ในมาลิบู แถมยังได้ความช่วยเหลือจากนักดนตรีอินดี้ร็อกระดับแนวหน้าทั้ง Carla Azar มือกลองจาก Autolux ไปจนถึง Jay Som (หรือ Melina Duterte) มือเบส มาร่วมอัดในอัลบั้มนี้ พวกเขาทำงานกว่าสิบชั่วโมงต่อวัน และพักผ่อนด้วยการดูหนังและซีรีส์ทริลเลอร์อย่างPromising Young Woman, The Handmaiden และ Yellowjackets

สำหรับโปรดิวเซอร์ร่วมของอัลบั้มนี้ boygenius ได้ Catherine Marks ที่มีผลงานกับ Manchester Orchestra และ PJ Harvey มาก่อนแล้ว มาร่วมด้วย ซึ่งแคทเธอรีนก็ได้บอกว่า กิจวัตรยามเช้าที่สตูดิโอคือ จูเลียนจะออกไปวิ่ง ในขณะที่ลูซี่จะอ่านไพ่ทาโรต์เพื่อตรวจสอบความรู้สึก ส่วนฟีบี้ก็จะฝึกโยคะตอนเช้า แคทเธอรีนเองก็ร่วมกับฟีบี้ด้วย “มันเป็นสิ่งที่หรูหราสุด ปกติถ้าฉันทำงานกับ Manchester Orchestra จะไม่มีใครอยากออกกำลังกายเลย พวกเราจะเมาเพราะดื่มเบอร์เบินหนึ่งขวดก่อนนอน”

นอกจากนี้แล้วยังได้ Sarah Tudzin จาก Illuminati Hotties เข้ามาช่วยในการวางระบบต่างๆ ด้วย ทั้งซาร่าห์และแคทเธอรีนก็ถามพวกเขาว่าเพลง Don’t Fuck With My Girl มันเข้ารอบมาอยู่ในอัลบั้มนี้รึเปล่า แต่มันก็ไม่ได้ผ่านเข้ามาในอัลบั้มนี้ ซึ่งฟีบี้ก็บอกว่า อาจจะปล่อยมันออกมา “แล้วทำไมต้องเก็บไว้ตลอดล่ะ” ซึ่งลูซี่ก็บอกว่า “ชีวิตมันก็ยืนยาวนะ แต่มันก็สั้นด้วยแหละ”

ก่อนจะมาเป็นชื่อ the record พวกเขาก็ได้ตั้งชื่อไว้หลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น American Idiot, The White Album, Beach Boys และอื่นๆ อีกมาก แต่สุดท้ายก็มาลงเอยที่ชื่ออัลบั้ม “the record”

Without You Without Them

เพลงนี้เป็นเพลงอะเคปเปลลาที่ทั้งสามคนไม่เคยได้ร้องในอัลบั้มไหนๆ ของพวกเขามาก่อน และพวกเขาก็ได้บอกกับ them เกี่ยวกับเพลนี้เอาไว้ว่า “Without You Without Them เปรียบเสมือนจดหมายรักที่เขียนถึงอุปสรรคอันร้ายแรงของการเป็นที่รู้จัก เพลงนี้เขียนขึ้นมาในโลกที่มีการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ และคอยย้ำเตือนว่า เราต่างต้องการกันและกันมากแค่ไหน” 

ฟีบี้ก็ได้บอกกับ Variety ด้วยว่า “ตอนที่เราร้องเพลงนี้ที่ร้องแค่แบบอะแคปเปลลา ฉันก็แบบ ‘นี่แหละ’ ทุกวันนี้ฉันไม่ได้ร้องเพลงคนเดียวมากเท่าไหร่อย่างร้องในบ้าน หรือไปแสดงคนเดียว เพราะงั้น การร้องเพลงร่วมกับคนอื่นและให้ร่างกายเป็นเครื่องดนตรีแบนี้ มันก็เลยเป็นการรวมประสบการณ์ไว้ทีเดียว และเพื่อให้สิ่งนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนทั้งมดของการแสดงของคุณ มันดีมากที่ได้นั่งร่วมกับคุณและรู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น”

boygenius - Without You Without Them (official audio)

Give me everything you’ve got
I’ll take what I can get
I want to hear your story
And be a part of it
Thank your father before you
His mother before him
Who would I be without you, without them?

$20

หากแฟนตัวยงของจูเลียนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก ก็คงสามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือเพลงของจูเลียน ตั้งแต่เสียงกีตาร์ที่ขึ้นต้นเพลงมา หรือแม้กระทั่งท่อนริฟฟ์ที่หนักหน่วง จูเลียนบอกว่า มันเป็นแรงกระตุ้นขนาดใหญ่ที่เธอพยายามจะลดมันอยู่ รวมไปถึงการทำสมาธิกับภาพถ่ายการประท้วงในเวียนนามของ Bernie Boston ที่ชื่อ “Flower Power” แล้วมันก็ทำให้เธอนึกถึงความตึงเครียดระหว่างความไม่สงบ และความไม่พอใจกับชีวิตของคุณแต่ละคน “ฉันมีบทสนทนาเหล่านี้จริงๆ ตอนเด็กๆ แค่ฟัง Green Day แล้วก็แบบ ‘ไอ้เหี้ยจอร์จ บุช! สงครามเลวร้าย! ไม่เอาเลือดแทนน้ำมัน!’ แล้วพ่อแม่ของฉันก็แบบ ‘เธอนี่มันเด็กสิบขวบจริง’”

ในท่อน “It’s a bad idea and I’m all about it” ของเพลง $20 จูเลียนบอกว่า “มันจะมีอะไรสนุกไปกว่าการกดปุ่มที่เขาบอกว่า ห้ามกดปุ่มนี้ ด้วยล่ะ” เธอเสริมต่อว่า “นั่นมันเป็นการต่อสู้ตลอดกาลของฉันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ที่จะพยายามไม่เป็นไอ้คนนั้นนะ” เธอบอกต่อว่า “ฉันเขียนท่อนนั้นแล้วก็ท่อนริฟฟ์แล้วก็ส่งไปให้พวกเขา แล้วฟีบี้กับลูซี่ก็เขียนสรุปเรื่องราวและฉากทั้งหมดเลย”

boygenius - $20 (official music video)

It’s an all-night drive from your house to Reno
To the T-bird graveyard where we play with fire
In another life, we were arsonists
How long’s the Chevy been on cinder blocks?

Emily I’m Sorry

Emily I’m Sorry เป็นเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาเป็นเพลงแรกและเป็นเพลงลำดับที่สามของอัลบั้ม the record เล่าเรื่องราวของความรักที่ทำให้คุณหลงทางและทำให้คุณเป็นแบบนั้น ใช้การอุปมาอุปไมยเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้ และเมื่อประสบอุบัติเหตุรถชน ก็ไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากซากความรู้สึกนั้น ที่เหมือนเป็นความสัมพันธ์เดียวสำหรับเธอ มันเต็มไปด้วยการเดินไปข้างหน้าและยังคงติดอยู่กับกับดักความรักตรงนั้น เพลงนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งความหวังและความเสียใจ

boygenius - Emily I'm Sorry (official music video)

Emily, forgive me, can we
Make it up as we go along?
I’m twenty-seven and I don’t know who I am
But I know what I want

สำหรับท่อน “I can feel myself becoming someone only you could want” ลูซี่บอกว่า “ท่อนนี้มันเป็นท่อนที่สำคัญมากสำหรับคอรัส เพราะมันเหมือนกับว่า คนๆ นั้นทำให้คุณเชื่อเรื่องโกหก เหมือนกับคุณรู้สึกว่า ‘จริงๆ แล้ว คุณเป็นคนเดียวเลยนะ’ แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่คุณเป็นแบบนั้น มันเหมือนกับว่า คุณคือโอกาสเดียวที่ฉันจะได้รับความรัก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คนท็อกซิกอยากจะให้คุณเชื่อ” เธอเสริมต่อว่า “ฉันเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะได้รับ” แล้วฟีบี้ก็บอกต่อด้วยว่า “ไม่มีใครรักเธอได้เหมือนกับฉันแน่นอน เพราะงั้น ได้โปรดอย่ากลับไป” จูเลียนเสริมต่อฟีบี้ว่า “เพราะไม่มีใครเห็นว่าคุณน่ารังเกียจแค่ไหน พวกเขาเป็นเหมือนว่าไม่มีใครเห็นตัวจริงของคุณ และถ้าคนอื่นเห็นตัวจริงของคุณ พวกเขาก็จะไม่รักคุณ”

True Blue

สำหรับเพลงที่สี่ของอัลบั้ม True Blue เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรักที่แท้จริง เล่าถึงความรักที่ใครบางคนรู้จักคุณดีกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง และเกี่ยวกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนรัก และถ้าเพลงใดในอัลบั้มนี้สามารถสื่อถึงการกอดได้ ก็คงจะเป็นเพลงนี้ ด้วยเนื้อเพลงที่กินใจ และทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวได้อย่างแน่นอน

เพลงนี้เล่าถึงเรื่องราวของการย้ายออกจากบ้านหลังเก่า การค้นหาตัวเอง ความเชื่อใจ และความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งในอีกทาง “True Blue” ก็หมายความว่า ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และความจงรักภักดี ได้อีกด้วย

boygenius - True Blue (official music video)

And it feels good to be known so well
I can’t hide from you like I hide from myself
I remember who I am when I’m with you
Your love is tough, your love is tried and true-blue

Cool About It

เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก Paul Simon จาก Simon & Garfunkel ที่เปิดด้วยทำนองอย่างเพลง The Boxer จากวงเดียวกัน (ถ้าหากใครได้ลองฟังก็จะพบว่ามันมีคล้ายกันแต่ก็ไม่ได้เหมือนกันในทำนองของเพลง Cool About It กับเพลง The Boxer) 

ในเพลง Cool About It แบ่งออกเป็นสามท่อนด้วยกัน และเน้นหนักไปในเรื่องความสัมพันธ์ที่แย่ลงจากการขาดการสื่อสาร หรือในอีกแง่ก็สามารถตีความได้ด้วยว่าเป็นการพบปะกับคนรักเก่าได้ด้วย

boygenius - Cool About It (official audio)

But I’m trying to forget about it
Feelin’ like I’m breaking a sweat about it
Wishin’ you would kindly get out of my head about it
Tеllin’ myself one day, I’ll forget about it
Knowing that it probably isn’t truе

Not Strong Enough

Not Strong Enough ของ boygenius เป็นเพลงที่ทั้งสามคนร่วมกันเขียนมากที่สุด สร้างและระเบิดอารมณ์ไปพร้อมๆ กับท่อนริฟฟ์  ซึ่งในความเร่งรีบนั้น พวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากฟีบี้ ในตอนที่เธอกำลังอินกับ Frank Black นั่นเอง และท่อน “Not strong enough to be your man” นั้น ก็เป็นการยกย่องให้กับ “Strong Enough” ของ Sheryl Crow และรอมานานกว่าจะทำให้มันเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบ

boygenius – Not Strong Enough (official music video)

The way I am
Not strong enough to be your man
I tried, I can’t
Stop staring at the ceiling fan and
Spinning out about things that haven’t happened
Breathing in and out

เพลงนี้ ฟีบี้บอกว่าต้องการที่จะเล่าถึงความเกลียดชังในตัวเอง ชีวิตคู่ และการที่เราไม่สามารถเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ “มันก็เหมือนกับหมาป่าสองตัวในตัวเองที่สามารถทำได้ทั้ง (1) เกลียดตัวเอง และ (2) ข่มกันเองได้” ฟีบี้ยังเสริมต่อว่า “มันเหมือนกับว่า ‘ฉันไม่แกร่งมากพอที่จะอยู่ตรงนั้นได้เพื่อคุณ ฉันเป็นชีวิตคู่ที่คุณอยากให้ฉันเป็น แต่ฉันเป็นให้คุณไม่ได้’ อารมณ์แบบ ‘ฉันห่วยแตกเกินไป ฉันไม่รู้อะไรเลย’ ซึ่งบางครั้ง ความเกลียดชังตัวเองมันก็ซับซ้อนเกินกว่าที่คุณคิด แบบคุณจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่เอาจริงนะ คุณไม่ได้เป็นแบบนั้น และด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ทำให้คนเห็นแก่ตัวได้จริงๆ แล้วฉันก็ชอบในการตีความไอเดียนั้นของเราแต่ละคนด้วย”

จูเลียนก็เสริมต่อว่า “นั่นก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ฟีบี้เล่นคำแล้วก็ตีความออกมาได้เหมาะเจาะสุดๆ”

Revolution 0

ฟีบี้คือหนึ่งในแฟนตัวยงของ Elliott Smith จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่าเพลงนี้จะมีความเชื่อมโยงกับชีวิตและอาชีพการงานของเขาด้วย ตัวของ เอลเลียต สมิธ ก็เคยคัฟเวอร์เพลงของ The Beatles ไว้หลายเพลงด้วยกัน และสำหรับเพลง Revoution 0 นั้น ก็เคยตั้งชื่อไว้ว่า Paul is Dead ไว้ก่อนแล้วด้วย ซึ่งก็เป็นการพูดถึงการเสียชีวิตของ Paul McCartney ตามทฤษฎีสมคบคิด

และเนื้อหาของเพลงนี้ เล่าถึงความสัมพันธ์ผ่านโลกออนไลน์กันอีกด้วย ซึ่งฟีบี้ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ไว้ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับการตกหลุมรักผ่านออนไลน์ (ซึ่งฟีบี้ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่แฟนๆ มักจะคาดเดาว่าเป็น Paul Mescal อดีตแฟนหนุ่มของฟีบี้) 

boygenius - Revolution 0 (official audio)

If it isn’t love
Then what the fuck is it?
I guess just let me pretend

Leonard Cohen

อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าในการเขียนเพลงอัลบั้มนี้ พวกเขาใช้เวลาไปกับการออกทริปถึงสองครั้งด้วยกัน รั้งแรกที่ ฮีลด์สเบิร์ก (Healdsburg) รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนเมษายน 2021 และที่มาลิบู ในเดือนสิงหาคม 2021 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นทริปที่พวกเขาเขียนถึงเพลง “Leonard Cohen” นั่นเอง ตอนนั้นพวกเขากำลังเดินทางจากฮีลด์สเบิร์กกลับลองแองเจลิส แล้วก็คุยกันถึงเพลงเจ๋งๆ ที่ไม่มีคอรัส “ฉันหมกมุ่นอยู่กับไอเดียแบบนั้นนะ เพราะถ้าเกิดทำเพลงออกมาไม่ดี มันก็แย่มากเลยล่ะ แต่ถ้าเกิดคุณทำมันได้ มันก็เป็นงานศิลปะที่เหนือธรรมชาติ อย่างเพลง ‘Hallelujah’ ที่มันมีคอรัสแต่ก็คล้ายกัน” ฟีบี้บอก 

ระหว่างการเดินทางกลับในครั้งนั้น ฟีบี้ก็ได้เปิดเพลง The Trapeze Swinger ของ Iron and Wine ให้ทุกคนฟังเกือบสิบนาทีระหว่างขับรถกลับ และดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงจนไม่ได้มอง GPS แถมเพื่อนร่วมวงก็ไม่กล้าบอกด้วยว่าเธอกำลังขับรถผิดทาง ลูซี่บอกว่า “เราทั้งคู่ตัดสินใจว่าเพลงนี้มันมีความสำคัญมากๆ หลังจากที่ฟังจบ เราก็แบบ ‘มันน่าทึ่งจริงๆ แบบ ว้าว แต่เธอต้องวนรถกลับนะ'”

และเช่นเดียวกันกับเพลง The Trapeze Swinger ของ Iron and Wine เพลง Leonard Cohen ก็ไม่มีคอรัส มีแค่เพียงลูซี่กับกีตาร์อะคูสติกและเสียงร้องอันมีเสน่ห์เท่านั้น

boygenius - Leonard Cohen (official audio)

You felt like an idiot adding an hour to the drive
But it gave us more time to embarrass ourselves
Tellin’ stories we wouldn’t tell anyone else

Marissa Lorusso หนึ่งในนักวิจารณ์ของ NPR Music ก็ได้บอกด้วยว่าสิ่งหนึ่งที่เธอชอบในอัลบั้มนี้ของพวกเขาก็คือหลายเพลงเกี่ยวกับมิตรภาพ และมองว่ามิตรภาพเป็นความรักที่ควรค่าแก่การเขียนถึง แล้วลูซี่ก็บอกว่า “ฉันเพิ่งรู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่เรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิทในอดีต’ กันอยู่” แล้วฟีบี้ก็เสริมต่อด้วยว่า “ใช่ๆ พวกเราชื่อ เอเลนอร์ รูสเวลต์” ลูซี่ก็บอกต่อว่า “คุณรู้ไหมว่าคนไม่เรียกว่า ‘เลสเบี้ยน’ นะ พวกเขาแค่บอกว่า ‘เป็นเพื่อนสนิทกันในอดีต’ เฉยๆ”

ลูซี่ยังบอกกับ NPR ต่อด้วยว่า “แต่ฉันไม่รู้นะ มิตรภาพเป็นสิ่งที่ฉันคิดถึงมาก ชีวิตของฉันถูกกำหนดโดยเพื่อนของฉัน ฉันรู้สึกว่าบางทีอาจจะมีสื่อดีๆ เกี่ยวกับมิตรภาพอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้มีมากเท่าไหร่ โรแมนติกก็ยังคงเป็นมาตรฐานทั่วไป ในขณะที่มิตรภาพของแต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฉันรู้สึกเหมือนว่ามันมีอะไรให้เล่นมากขึ้น แล้วทำไมคนอื่นถึงไม่ทำกันล่ะ ไม่รู้สึกว่ามันเป็นสูตรโกงอะไรเท่าไหร่ การที่ฉันได้เขียนเพลงรักหลายๆ เพลงในช่วงเร็วๆ นี้ และฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นแบบนั้น มันโอเวอร์เกินไปหรือไม่ลึกซึ้งเลยแม้แต่น้อย แต่ฉันสามารถหยิบเอาเพื่อนคนใดคนหนึ่งมา แล้วก็เขียนสิ่งที่สมบูรณ์สำหรับพวกเขาได้เลย”

Satanist

จากบทสัมภาษณ์ของจูเลียนกับ CoupedeMain ในเดือนมกราคม 2023 จูเลียนเขียนเพลง “Satanist” ขึ้นมาหลังจากดูสารคดีเรื่อง “Hail Satan” และเธอก็คิดว่าเธอสามารถเป็นซาตานได้ และเพื่อนของเธอจะร่วมเดินทางในเส้นทางสายนี้หรือไม่ หรือพูดในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ‘คุณอยากจะอยู่ในชีวิตของฉันนานๆ ไหม’

boygenius - Satanist (official audio)

Will you be an anarchist with me?
Sleep in cars and kill the bourgeoisie
At least until you find out what a fake I am
Spray paint my initials on an ATM

We’re In Love

หากพูดถึงเพลงที่หวานที่สุดของอัลบั้มก็คงจะหนีไม่พ้นกับเพลง We’re In Love ที่ลูซี่เขียนขึ้นมาสำหรับอัลบั้มนี้ และเพลงนี้ก็ยังสื่อถึงความสวยงามและความผูกพันกันระหว่างลูซี่ จูเลียน และฟีบี้ ประกอบกันเป็น boygenius ได้อย่างลงตัวและงดงามที่สุดเพลงหนึ่ง

และแฟนๆ ของลูซี่เองก็คงจะเคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า เพลง Night Shift ของ Lucy Dacus คือเพลงบอกเลิกที่ดีที่สุด และเพลง We’re In Love ก็คือจดหมายรักอันสมบูรณ์แบบที่ส่งถึงมิตรภาพระหว่างกัน แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นเพลงที่จูเลียนโหวตให้ตัดออกจากอัลบั้มก็ตาม โดยให้เหตุผลว่ามันยาว (เพลงเต็มยาวเกือบ 5 นาที (4.55 นาที)) ก่อนจะให้เหตุผลจริงๆ ว่าเป็นเพราะ “บางครั้งฉันก็มีปัญหากับการมีส่วนร่วมในเพลงที่มีอารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ ทั้งในแบบที่บอกตรงๆ เลย กับแบบที่อ่อนโยน มันมีบางอย่างที่น่ากลัวเล็กน้อยกับเรื่องนั้น”

ด้วยบทเพลงที่ปลดเปลื้องความเป็นตัวเอง และมอบความจริงใจให้ระหว่างกัน ก็คงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่าทำไมลูซี่ร้องไห้ในครั้งแรกที่ร้องให้ฟีบี้ฟัง ในคืนวันปีใหม่ 2022 และอีกครั้งในสตูดิโอ ที่แคทเธอรีนร้องไห้ขณะที่พวกเขากำลังบันทึกเสียงกันอยู่ และจูเลียน เธอบอกว่า เพลงนี้ “ในตอนนี้ มันก็เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของฉันในอัลบั้มนี้”

boygenius - We're In Love (official audio)

In the next one, will you find me?
I’ll be the boy with the pink carnation pinned to my lapel
Who looks like hell and asks for help
And if you do, I’ll know it’s you
I can’t imagine you without the same smile in your eyes
There is somethin’ about you that I will always recognize
And if you don’t remember
I will try to remind you of the hummingbirds

เพลงนี้คือหนึ่งในเพลงที่ลูซี่เขียนเองทั้งเพลง ในตอนแรกเธอตั้งใจที่จะให้ดอกคาร์เนชั่นเป็นสีขาว แต่ฟีบี้ก็ยืนยันว่าจะให้เปลี่ยนเป็นสีชมพูแทน โดยให้เหตุผลว่า เพราะว่าเพลงของ Marty Robbins (A White Sport Coat (and a Pink Carnation) ที่เขาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่งานพร้อมเพราะคู่เดททิ้งเขาไป และอีกเหตุผลของฟีบี้ก็คือ “เพราะเอลเลียต สมิธ อยากใส่สูทสีขาวในงานออสการ์ แล้วก็กลัดด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แล้วพวกเขาก็บอกให้ถอดมันดอกไม้ออกเพราะมันดูแย่มาก”

Anti-Curse

เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ทริปเขียนเพลงที่มาลิบู จูเลียนเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น เธอลงไปว่ายน้ำ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนรักทะเลขนาดนั้น และในอดีตเธอก็ไปชายหาดแบบนับครั้งได้ด้วย ในครั้งนี้เธอตัดสินใจว่ายน้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจคำเตือนของฟีบี้ว่าน้ำมันสูงเกินไป “ฉันถูกคลื่นซัดจนเงยหน้าเพื่อตั้งหลักไม่ได้เลย” จูเลียนบอกกับ Rolling Stone “ร่างกายของฉันมันแบบอย่างกับผู้ชาย แล้วฉันก็แบบว่า ‘ฉันก็ฟิตอยู่นะ ฉันตั้งหลักในมหาสมุทรนี้ได้แหละ’ แต่เอาจริงฉันทำไม่ได้ ตอนนั้นฉันสามารถจมน้ำตายได้เลยนะ”

หลังจากเหตุการณ์นั้น จูเลียนก็ได้ไอเดียสำหรับเพลงนี้ขึ้นมา “ฉันคิดว่าแบบ ‘นี่ไม่ใช่วิธีการตายที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีมา’ มันไม่ใช่บาดแผลทางจิตใจ ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว ไม่ใช่จุดจบของความรุนแรงแปลกๆ หรือโรคร้าย ฉันแค่มีช่วงเวลาที่ดีบนชายหายดกับเพื่อนๆ และนั่นก็เหมือนความรู้สึกที่เหมือนกับการโดนลูกสุนัขรุมจนตาย”

จากเหตุการณ์นั้น ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลง “Anti-Curse” เพลงไฮไลต์ของอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ ท่อนที่ว่า “Salt in my lung” ชวนให้นึกถึงเพลง “Salt in the Wound” ของ Lucy Dacus จากอัลบั้ม boygenius

boygenius - Anti-Curse (official audio)

Salt in my lungs
Holdin’ my breath
Makin’ peace with my inevitable death

Letter To An Old Poet

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2021 ในช่วงโควิด ที่ฟีบี้เล่นคอนเสิร์ตและร่วมพูดคุยภายในงานที่จัดขึ้นโดย Cornell University แล้วฟีบี้ก็เล่นเพลงนี้ให้ฟัง พร้อมบอกว่าเป็น “me and my dog’s unreleased verse” และในที่สุดเพลงนี้ก็กลายมาเป็นเพลง Letter to an Old Poet สำหรับอัลบั้ม the record นอกจากนี้แล้ว หากสังเกตดีๆ ทำนองของเพลงนี้และ me and my dog ก็มีความคล้ายกัน ราวกับว่าเป็นเพลงเดียวกันไปเลย และแน่นอนว่ากินใจไม่แพ้กัน

เพลงนี้พูดถึงความรักอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับความรักสุดใจและไร้ความปราณี “เพลงนี้มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายมีอำนาจเหนือคุณมากๆ เขาก็เลิกเป็นมนุษย์ไป” ฟีบี้อธิบายถึงเพลงนี้ (และเธอก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเพลงนี้เกี่ยวกับใครหรือเธอเขียนถึงใคร)

นอกจากนี้แล้ว ชื่อเพลงนี้ก็ยังสื่อถือหนังสือเรื่อง Letters to a Young Poet ของ Rainer Maria Rilke ที่ลูซี่อ่านและเปิดเผยไว้ในสัมภาษณ์กับ Penguin Books ด้วย

boygenius - Letter To An Old Poet (official audio)

I wanna be happy
I’m ready to walk into my room without lookin’ for you
I’ll go up to the top of our building
And remember my dog when I see the full moon

Sources: 

  • https://twitter.com/harborinthealps/status/1640944403849048066
  • https://variety.com/2023/music/news/boygenius-record-tour-phoebe-bridgers-lucy-dacus-julien-baker-interview-1235571668/
  • https://www.coupdemainmagazine.com/phoebe-bridgers/18971
  • https://www.npr.org/2023/03/26/1166114350/on-its-full-length-album-the-record-boygenius-friendship-has-never-been-stronger
  • https://www.theguardian.com/music/2023/mar/24/indie-supergroup-boygenius-phoebe-bridgers-lucy-dacus-julien-baker-stuff-of-life
  • https://www.them.us/story/boygenius-the-record-profile-phoebe-bridgers-lucy-dacus-julien-baker
Previous

Interpol ปล่อยอัลบั้มอีพี Interpolations นำเพลงจากอัลบั้มมาทำใหม่ร่วมกับหลากหลายศิลปิน

“Beau Is Afraid” พบการแสดงที่กลัวที่สุดและจินตนาการไม่ธรรมดา 25 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

Next