ในช่วงวันวาเลนไทน์แบบนี้ ใครหลายๆ คนก็อาจจะกำลังมองหาภาพยนตร์โรแมนติกที่อบอวลไปด้วยความรักของคนสองคนกันอย่างแน่นอน ปีที่แล้ว (2021) ก็มีบทความเกี่ยวกับหนัง anti-valentine กันไปแล้ว ในปีนี้ ดราชวนคุยกันถึงภาพยนตร์ไตรภาคสุดโรแมนติกอย่าง Before Trilogy หนึ่งในหนังรักในหัวใจของใครหลายๆ คนนั่นเอง
แต่คุณก็อาจจะเคยได้ยินคนพูดๆ กันมาแล้วว่าเวลาดูภาพยนตร์ The Before Trilogy ทั้งสามภาคนั้น ให้ดูตามช่วงวัยของตัวละคร อย่างภาค Before Sunrise ก็จะเป็นช่วงเวลาวัยหนุ่มสาวที่ยังคงหอมหวาน ทุกๆ อย่างดูสดใส แม้ว่าจะพบกันครั้งแรกบนรถไฟและใช้เวลาร่วมกันแค่เพียง 1 คืนเท่านั้น ก่อนที่จะบอกลากันไป สำหรับภาค Before Sunset จะเป็นช่วงเวลาของคนทำงาน วัยผู้ใหญ่ ที่พวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ห่างหายกันไป และภาคสุดท้ายอย่าง Before Midnight ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการใช้ชีวิตคู่แบบครอบครัว ที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป
ในตอนแรก ผู้กำกับ Richard Linklater ไม่ได้ต้องการที่จะกำหนดให้ตัวละครเป็นชายหรือหญิงชัดเจนขนาดนั้น เขาแค่ต้องการค้นหานักแสดงที่มีความสดใหม่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาบอกว่า “มันไม่ได้ชัดเจนถึงขนาดที่ว่าฝ่ายชายจะต้องมาจากยุโรปหรือฝ่ายหญิงจะต้องเป็นอเมริกัน” ซึ่งในดราฟแรกของเรื่องนี้ ก็ตั้งใจให้ใช้ชื่อว่า Chris และ Terry เพราะมันดูเป็นชื่อที่เป็นกลางและไม่ได้เจาะจงในเพศใดเพศหนึ่ง และหลังจากที่ได้อีธานและจูลี่มาร่วมงาน พวกเขาทั้งสามคนได้ทำการพูดคุยและร่วมกันแก้ไขบทพูดในบางส่วน มีการใส่ชื่อของจูลี่และอีธานลงในเครดิตท้ายเรื่องในฐานะ Screenwriting ของภาพยนตร์ภาคต่ออย่าง Before Sunset และ Before Midnight
Ethan Hawke ผู้รับบท Jesse ได้พูดคุยกับ Cameron Bailey ภายในงาน TIFF 2020 ที่จัดขึ้นผ่านออนไลน์ด้วยว่า “ตอนแรกจูลี่บอกว่า ‘หนังเรื่องนี้มันจะน่าเบื่อมาก เพราะมันเป็นแค่เรื่องราวของคนสองคนคุยกัน มันจะต้องมีมุกตลกเข้ามา ต้องหาคนเขียนมุกตลกเข้ามาใส่นะ ไม่งั้นมันไม่สนุกเลย น่าเบื่อสุดๆ’ แล้วริชาร์ดก็บอกกับจูลี่ว่าแบบ ‘จูลี่ เราเขียนบทด้วยกันในโรงแรมมาสี่สัปดาห์แล้วนะ แล้วผมก็ไม่เบื่อเลย มันใช้เวลา 12-14 ชั่วโมงต่อวัน แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยสักวินาทีเดียว แล้วถ้าเกิดเราดันคุณให้แสดงมันออกไป จะไม่มีใครเบื่อเลย ถ้าใครเบื่อก็ลงนรกไปเลยนั่นแหละ พวกเราน่ะน่าสนใจ เรามีเรื่องที่อยากพูด มันมีความหมาย เราเป็นเราก็พอแล้ว'”
นอกจากนี้แล้ว อีธานก็ยังได้บอกภายในงานด้วยว่า “ผมหวังว่าคนหนุ่มสาวที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รู้ว่าพวกเขาน่ะเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร คุณน่ะพิเศษตั้งแต่ช่วงเวลาที่เกิดมาแล้ว มันฟังดูซ้ำซาก แต่หนังเรื่องนี้พูดถึงความสัมพันธ์และความรักรวมไปถึงผู้คน มันคือพลังที่ยิ่งใหญ่ ถ้านั่นคือตัวคุณจริงๆ”
Before Sunrise (1995)
สำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกในชุด The Before Trilogy ก็คือ Before Sunrise จุดเริ่มต้นของความรักระหว่างคนสองคน ที่เริ่มต้นจากการพบกันบนรถไฟสายยุโรป ระหว่างเจสซี่ หนุ่มอเมริกันที่กำลังเดินทางกลับจากทัวร์ยุโรป และซีลีน สาวฝรั่งเศสที่กำลังเดินทางกลับประเทศของตัวเองเพื่อไปเรียนต่อ พวกเขาได้พูดคุยกัน จากบทสนทนาสั้นๆ และถูกชะตา ก็ได้เริ่มต้นถ่ายทอดความเป็นตัวตนของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ จนกระทั่งพวกเขาเดินทางมาถึงเวียนนา เจสซี่ชวนซีลีนให้ใช้เวลาร่วมกันกับเขาในเมืองนี้หนึ่งคืน เพื่อพูดคุยและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ก่อนที่เขาและเธอจะแยกย้ายกันไปยังจุดหมายปลายทางของตนในเช้าวันถัดไป ทั้งคู่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะไม่มีการติดต่อกันไม่ว่าจะทางใดก็ตาม และให้สัญญาไว้ว่าพวกเขาจะกลับมาเจอกันในอีก 6 เดือนให้หลังที่เวียนนา
ถือว่าเปิดตัวได้อย่างสวยงามสำหรับภาคแรกของหนังไตรภาคอย่าง Before Sunrise เนื้อเรื่องจะเน้นการพูดคุยต่อบทสนทนาของทั้งคู่ พวกเขาเปิดเผยทั้งด้านดีและด้านเสียของตัวเองให้ต่างฝ่ายได้รับรู้ จึงไม่แปลกใจนักที่คนดูอย่างเราจะรู้สึกอินไปกับตัวละครในเรื่องด้วย
ถึงแม้จะเป็นหนังที่เน้นไปที่บทสนทนาของคนสองคนซะส่วนใหญ่ แต่ด้วยบทสนทนาที่ลื่นไหลและเคมีที่เข้ากันของจูลี่และอีธาน ทำให้ไม่มีตรงไหนเลยที่รู้สึกน่าเบื่อ กลับกันประโยคสนทนาในเรื่องหลายๆ ตอนยิ่งทำให้เรารู้สึกซึมลึกไปกับมัน นอกจากนั้นแล้วบรรยากาศที่สวยงามในเมืองเวียนนายังถือเป็นจุดเด่นอีกเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรียกได้ว่าหลายๆ คนที่ดูก็อยากจะไปลองสัมผัสบรรยากาศที่เมืองนี้ด้วยตัวเองกันสักครั้ง
เรื่องราวของ Before Sunrise นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของผู้กำกับ Richard Linklater ที่ครั้งหนึ่งเขาได้บังเอิญเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองฟิลาเดเฟีย ทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกัน 1 คืน เดินเล่นรอบเมืองและพูดคุยกันจนถึงเช้าก่อนจะแยกย้ายจากกันไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพิเศษตรงที่บทพูดบางส่วนถูกปรับและเขียนขึ้นใหม่โดยนักแสดงหลักของเรื่องอย่าง จูลี่และอีธาน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบทสนทนาของทั้งคู่จึงดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ
Before Sunrise ถือเป็นหนังรักโรแมนติกที่สุดเรื่องหนึ่งในยุค 2000 เลยก็ว่าได้ ทุกบทสนทนาและการกระทำของตัวละครนั้นชวนให้ติดตามและลุ้นไปกับการตัดสินใจของทั้งคู่ การแสดงของจูลี่และอีธานนั้นมีเสน่ห์และชวนให้คนดูตกหลุมรักในตัวละครของทั้งคู่ได้ไม่ยาก แต่สำหรับใครที่ลุ้นว่าทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันตามที่ให้คำสัญญาไว้หรือไม่ สามารถตามไปดูคำตอบได้ที่ภาคต่ออย่าง Before Sunset
Before Sunset (2004)
สำหรับ Before Sunset จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจาก Before Sunrise 9 ปี และสร้างหลังจากภาคแรกอีก 9 ปีเช่นกัน เจสซี่ กลายมาเป็นนักเขียนได้มีงานแจกลายเซ็นที่ร้านหนังสือเล็กๆ ในประเทศฝรั่งเศสและนั่นเป็นเหตุให้เขาและซีลีนได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังงานแจกลายเซ็นเจสซี่มีเวลาถึงเย็นก่อนจะบินกลับอเมริกา ทั้งคู่ได้ตัดสินใจจะใช้เวลาที่เหลือเพื่อพูดคุยและเล่าเรื่องราวต่างๆ ตลอด 9 ปีของกันและกันให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ในภาคนี้จะมีการเฉลยปมที่แฟนๆ ค้างคาใจมาจากตอนจบของภาคแรกว่าคนทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
เหมือนกับภาคแรก Before Sunset เองก็ดำเนินเรื่องโดยเน้นไปถึงบทสนาของคนสองคน เปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำจากเวียนนามาเป็นฝรั่งเศส แต่ในภาคนี้พวกเขาเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่การงานรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบ เนื้อเรื่องของ Before Sunset จึงถือว่าค่อนข้างเรียลเลยทีเดียว ด้วยบทสนทนาที่ค่อนข้างเป็นจริงเป็นจัง ไม่ได้โรแมนติกหวือหวาเหมือนอย่างในภาคแรก และทำให้เราได้เห็นในอีกมุมมองหนึ่ง โดยเฉพาะด้านความรักที่โตขึ้นของตัวละครทั้งสอง ทั้งคู่ได้ปลดล็อคความรู้สึกต่างๆ ในภาคนี้
แต่สำหรับเราก็ต้องบอกว่า Before Sunset ยังคงทำให้รู้สึกประทับใจไม่ต่างกันกับภาคแรกอย่าง Before Sunrise การได้กลับมาดูภาคต่อเรื่องนี้เหมือนได้กลับมาเจอกับเพื่อนเก่า บรรยากาศเก่าๆ ที่ทำให้เราตกหลุมรักตัวละครทั้งสองมาตั้งแต่ครั้งที่ได้ดูในภาคแรก
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง บทพูดของตัวละครที่งานนี้ทั้งสองนักแสดงนำอย่างอีธานและจูลี่ก็ได้มีส่วนร่วมในการปรับแต่งบทพูดของตัวละครขึ้นมาใหม่ โดยมีรายชื่อของสองนักแสดงนำในท้ายเครดิตเรื่องด้วย ในส่วนของบรรยากาศในเรื่องคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากนัก เพราะอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าปารีสคือหนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความโรแมนติก พูดแค่นี้หลายๆ คนก็คงจะพอนึกออกแล้วใช่ไหมล่ะ
Before Midnight (2013)
หนังภาคต่อและภาคจบของหนังชุด Before Trilogy ที่เมื่อความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป และความรักก็ไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงาม แม้หนังจะยังใช้การดำเนินเรื่องเหมือนกันกับสองภาคก่อน แต่มุมมองที่นำเสนอในภาคนี้กลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด Before Midnight เผยให้เห็นถึงมุมมองความขัดแย้งของคู่สามี-ภรรยาที่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา และจากการที่นักแสดงนำได้มีส่วนร่วมในการเขียนบท ทำให้ฉากที่ทั้งคู่ระเบิดอารมณ์ใส่กันนั้นดูสมจริงเป็นที่สุดเมื่อหมดสิ้นช่วงเวลาของการตกหลุมรัก ก็เป็นธรรมดาที่การใช้ชีวิตร่วมกันจะต้องมีจุดที่ไม่เข้าใจ เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตจริงไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเอาไว้ และการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนนั้นมันไม่ได้ง่ายเลย
Before Midnight คือความเรียลลิสติกที่คู่รักแทบทุกคู่ล้วนต้องเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น แต่อาจจะแตกต่างกันที่ตอนจบ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกประคับประคองซ่อมแซมความสัมพันธ์และความรู้สึกของเราและคนรัก หรือเลือกที่จะปล่อยให้มันพังลงไป ถือเป็นหนังภาคจบที่ถือว่าจบได้สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมยังให้แง่คิดในเรื่องความรักได้ดีอีกด้วย
อาจจะบอกได้ว่า The Before Trilogy คือหนังที่ขายความเรียลในทุกช่วงวัย โดยเริ่มจากการตกหลุมรักไปจนถึงการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัว ในแต่ละภาคเราจะได้เห็นถึงการเติบโตของตัวละครที่เติบโตขึ้นจริงๆ (รวมไปถึงอายุของนักแสดงด้วย) จึงไม่แปลกใจที่คนดูจะรู้สึกอินไปกับการเล่าเรื่องของหนัง และตัวหนังเองก็ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องของความรักแต่ยังสอดแทรกประเด็นอื่นๆ ไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง ผู้คน การใช้ชีวิต สังคม ปรัชญา และความตาย เรียกว่าเป็นหนังรักที่มีครบทุกอย่างเลยจริงๆ
The Before Trilogy (1995-2013)
Director: Richard Linklater
Screenwriter: Richard Linklater, Kim Krizan (1), Ethan Hawke (2-3), Julie Delpy (2-3)
Based on Characters by Richard Linklater and Kim Krizan
Actors: Ethan Hawke, Julie Delpy
Producers: Anne Walker-McBay, Richard Linklater (2–3), Sara Woodhatch (3), Christos V. Konstantakopoulos (3)
Cinematography: Lee Daniel (1-2), Christos Voudouris (3)
Editor: Sandra Adair