นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างชนเผ่า หรือการต่อสู้ระหว่างชายและหญิง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศ ประชาชน และคนที่รักต่างหาก The Woman King คือหนึ่งเรื่องราวที่หยิบเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง มาสร้างเป็นภาพยนตร์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ The Agojie กลุ่มนักรบหญิงแห่งอาณาจักรดาโฮเม กองกำลังหญิงที่ต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาจักรของพวกเขา และกลายมาเป็นราชองครักษ์ของกษัตริย์ในยุคนั้น
The Woman King เรื่องราวของ The Agojie กลุ่มนักรบหญิงแห่งอาณาจักรดาโฮเม
กลุ่มนักรบหญิงชั้นยอดได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ตามคำบอกของเดวิส การสร้างตัวละครของพวกเธอ จำเป็นต้องมีการค้นคว้าข้อมูลมากมาย รวมกับการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขียนขึ้นโดยชาวยุโรปในช่วงระหว่างและหลังการล่าอาณานิคม และถูกสร้างขึ้นภายใต้อคติ “ความจริงที่ว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงคือสิ่งที่ทำให้คู่ต่อสู้ของพวกเธอประมาท” เธอกล่าว “นักรบเหล่านี้กล้าหาญ พวกเธอโหดเหี้ยม แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือพวกเธอเป็นผู้หญิง มันไม่ได้เข้ากับแนวทางที่เรามองผู้หญิงในสมัยนั้นหรือยุคนี้เลย ชาวอาณานิคมจะเรียกพวกเธอว่า ‘มีความเป็นผู้ชาย’ หรือ ‘ดูเหมือนสัตว์เดรัจฉาน’ และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะพวกเขาอาศัยความเข้าใจของตนเองว่าพวกเขามองผู้หญิงอย่างไรและมองแอฟริกาอย่างไร ในขณะที่ผู้หญิงเหล่านี้ภูมิใจที่ได้อยู่ในหน่วยทหารนี้ มันเป็นอัตลักษณ์ของพวกเธอ”
นักรบอะโกเจียประกอบด้วยสตรีที่มีภูมิหลังหลากหลายจากหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค พวกเธอมารวมตัวกันเพื่อสานสายสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องกันที่ไม่มีวันแตกแยก ขณะที่ ปรินซ์-ไบธ์วู้ด ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เตรียมถ่ายทำในแอฟริกาใต้ เธอก็พยายามสะท้อนความสัมพันธ์แบบนั้นให้ปรากฏในทีมนักแสดงของเธอด้วย “ฉันต้องการสร้างทีมนักแสดงที่เป็นตัวแทนของความหลากหลายอันน่าทึ่งของชาวพลัดถิ่นของเรา” เธอกล่าว “เรามีธูโซ เอ็มบีดู ซึ่งมาจากแอฟริกาใต้ มีลาชานา ลินช์ ซึ่งเป็นชาวจาไมกาและชีลา เอทิม ซึ่งมาจากสหราชอาณาจักร แต่ก็เป็นยูกันดาด้วย เรามีผู้หญิงจากแอฟริกาตะวันตก และผู้หญิงแอฟริกันอเมริกัน นั่นเป็นความตั้งใจที่จะนำพวกเราทุกคนมารวมกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพวกเรา ฉันรักพลังงานที่สิ่งนั้นนำมาสู่กองถ่าย”
พวกอะโกเจีย
นานิสก้า ตัวละครของวิโอลา เดวิสเป็นมีกานอน หรือนายพลของพวกอะโกเจีย “ในตัวนานิสก้า ฉันมองเห็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ เป็นผู้หญิงที่ใช้พลังของตัวเองอย่างเต็มที่” เดวิสกล่าว “ฉันรักความแข็งแกร่งของเธอและฉันก็เห็นตัวเองในนั้น ฉันมักจะรู้สึกว่าความเป็นผู้หญิงของฉันมันผิดเพราะฉันไม่ได้ตัวเล็กและอ้อนแอ้น มีบางอย่างเกี่ยวกับนานิสก้าที่เป็นคนแอฟริกันผิวดำอย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่ปราศจากขอบเขตของสิ่งที่เรามองว่าเป็นผู้หญิง”
“นานิสก้าเป็นผู้นำ เป็นนักรบผมหงอก เป็นผู้หญิงที่ไต่ระดับสู่ฐานอำนาจอย่างเงียบๆ เธอเข้าใจวิธีเล่นเกมการเมืองในโลกของเธอเป็นอย่างดี” ดานา สตีเวนส์ อธิบาย
“เธอมีหน้าที่ฝึกนักรบรุ่นเยาว์ให้มาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเธอ” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “เพื่อปกป้องหญิงสาวเหล่านั้นและฝึกฝนพวกเธอในแบบที่พวกเธอสามารถป้องกันตัวเองในสนามรบได้”
ผู้ที่อยู่ในหมู่บ้านนอกกำแพงวังคือนาวี รับบทโดย ธูโซ เอ็มบีดู ซึ่งชื่อตัวละครนี้เป็นการอุทิศให้กับหนึ่งในนักรบอะโกเจียคนสุดท้ายที่เรารู้จักกัน ผู้เสียชีวิตในปี 1979 เด็กสาวกำพร้าที่ต้องเรียนรู้การพึ่งพาตัวเอง เธอต่อต้านทุกความพยายามของพ่อบุญธรรมของเธอที่จะให้เธอแต่งงานออกไป เมื่อเขาตระหนักว่าชะตากรรมของเธอคือการไม่แต่งงานหรือมีลูก เขาก็ส่งเธอไปที่พระราชวัง ที่ซึ่งเธอถูกส่งตัวไปให้กับหน่วยอะโกเจีย
ในการสร้างตัวละครตัวนี้ สตีเวนส์ดึงข้อมูลจากการค้นคว้าข้อมูลของเธอ “ในประเทศและวัฒนธรรมดาโฮมีบางครั้ง เด็กผู้หญิงก็จะถูกมอบให้กษัตริย์” เธอตั้งข้อสังเกต “แนวคิดคือ ‘คุณกลายเป็นนักรบเพราะคุณล้มเหลวในทุกสิ่งที่คุณควรจะทำได้อย่างดี’ แต่จริงๆ แล้ว นาวีเป็นหญิงสาวที่ไม่มีโอกาสฝัน เธอมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำงานเท่านั้นโดยไม่ได้รับความรักหรือความห่วงใย ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ในเส้นทางของการใช้ชีวิตธรรมดาๆ ติดอยู่บ่วงของการแต่งงานที่ปราศจากความรัก”
“นาวีเป็นเด็กกำพร้า เธอเป็นเด็กสาวที่มุ่งมั่นและดื้อรั้น ผู้เฝ้าฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าชีวิตที่เป็นอยู่มาโดยตลอด” เอ็มบีดูกล่าว “เธอพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เธอสามารถเป็นในสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด นั่นคืออะโกเจีย”
เอ็มบีดูกล่าวต่อว่าหญิงสาวต้องพบกับการถูกปลุกให้ตื่นอย่างสะเทือนความรู้สึกเมื่อการฝึกของเธอเริ่มต้นขึ้น แต่เธอก็จะต้องมุมานะต่อไป “เราสามารถพูดได้ว่าเธอเป็นคนดื้อรั้น แต่เธอก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดด้วย” เธอกล่าว “เธอไม่มีแผนสำรอง มันต้องได้ผล เธอไม่สามารถกลับบ้านได้ พ่อของเธอได้สละเธอทิ้งไปแล้ว และนี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้หรอกว่ามันจะยากแค่ไหน แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้มันสำเร็จ”
ที่พระราชวัง นาวีพบกับอิโซกี ที่รับบทโดย ลาชานา ลินช์ อิโซกี ผู้ดำรงตำแหน่งร้อยโทประจำหน่วยอะโกเจีย ได้เข้าสู่ภราดรภาพนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ลำบากเช่นกัน และด้วยความที่เธอมองเห็นตัวเองในนาวี เธอจึงคอยดูแลและให้คำปรึกษาแก่เด็กสาว
“จีนาและดานาทำงานได้อย่างเหลือเชื่อในการสร้างตัวละครที่ฉันรู้สึกเชื่อมโยงด้วย เพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉันต้องการท้าทายความเข้าใจผิดนี้ ตำนานนี้ ของผู้หญิงผิวดำที่แข็งแกร่ง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่าไม่สมเหตุสมผล” ลินช์กล่าว “ในการที่ผู้หญิงผิวดำจะแข็งแกร่ง มันจะต้องมาจากบางสิ่ง มันมาจากความอ่อนแอ มันมาจากความเจ็บปวด มันมาจากความบอบช้ำ และฉันคิดว่าพวกเขาก็ทำได้ดีเยี่ยมในการสร้างสมดุลระหว่างผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ดุร้าย มีทักษะ และมีเลือดเนื้อจริงๆ และผู้หญิงที่ต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองเมื่อเธอได้รับอำนาจจากครอบครัวที่เธอเลือก”
“ลาชานานำอะไรมากมายมาสู่ตัวละครตัวนี้” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “นี่เป็นตัวละครที่เท่ตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว แต่ดานา เธอและฉันได้ขุดลึกลงไปเพื่อดึงเอามิติของตัวละครตัวนี้ออกมามากขึ้นอีก ลาชานาเข้ามาพร้อมกับเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าทึ่งสำหรับ อิโซกี ที่เรารวมเข้ากับเรื่องราว”
อาเมนซา ที่รับบทโดย ชีลา เอทิม เคยเป็นทาสของนานิสก้ามาก่อน แต่ตอนนี้เธอเป็นมือขวาของนายพลในกองทัพ อะโกเจีย มิตรภาพอันยาวนานระหว่างทั้งคู่ทำให้อาเมนซาและนานิสก้ามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความลับร่วมกัน
อาเมนซาเป็นมากกว่าผู้ช่วย เธอเป็นผู้นำทางศาสนาหญิงของอาณาจักร “ในร่างต้นฉบับ มันเป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร แต่เมื่อชีลา เอทิม เข้ามา เราก็เริ่มล้วงลึกเข้าไป มันหมายความว่าอย่างไร เราสามารถนำอะไรมาสู่เรื่องราวของเธอได้อีก จิตวิญญาณที่เธอครอบครองเมื่อตอนเป็นเด็กสาวทำให้เธอมีที่ยืนในสังคมนี้” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดกล่าว “อาเมนซาเป็นคนที่สงบเงียบสำหรับนานิสก้า แน่นอนว่าเธอเป็นคนเดียวที่นานิสก้าไว้วางใจ แต่เธอก็เป็นคนที่ให้ความรู้สึกสงบเงียบสำหรับทุกคนเช่นกัน”
นอกจากนี้ อาเมนซายังเป็นประธานในพิธีเริ่มต้น การป้องกัน และการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ของหน่วยอะโกเจียด้วย “ผู้หญิงเหล่านี้มารวมกันจากสถานที่และทางเดินชีวิตที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันมากมาย” เอทิมกล่าว “ในระหว่างขั้นตอนการฝึก ทุกคนต่างพยายามค้นหาจุดยืนของตัวเองและค้นหาว่าพวกเธอเป็นใคร แต่เมื่อพวกเธอผ่านการทดสอบขั้นสุดท้าย และพวกเขาได้รับการรับขวัญ พวกเธอก็กลายเป็นพี่น้องกัน พวกเธอยังคงเก็บสมบัติตกทอดและประวัติศาสตร์ของพวกเธอเอาไว้ แต่ทุกคนก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว”
เอเดรียน วอร์เรน รับบทเป็น โอดา เชลยชาวมาฮีผู้ถูกชาวดาโฮมีจับเป็นนักโทษเมื่อผู้คนของเธอบุกเข้าไปในหมู่บ้านของดาโฮมี โอดาได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมหน่วยอะโกเจีย และเธอก็ได้รับโอกาสในการจากไป แต่เธอกลับเลือกที่จะอยู่และเรียนรู้ทักษะของเธอ “โอดาเป็นหญิงสาวที่แข็งแรงมากและมีพรสวรรค์มาก เธอเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับตัวเองในฐานะสมาชิกใหม่ของหน่วยอะโกเจีย” วอร์เรนกล่าว “เธออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ภายในนั้น เธอสามารถค้นพบส่วนที่แตกต่างของตัวเองในการเดินทางครั้งนี้ได้ เธอมีโอกาสที่จะสำรวจสิ่งนั้นและเป็นตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองในการค้นพบว่าเธอเป็นใครในฐานะอะโกเจีย”
มาซาลี บาดูซา รับบทเป็น ฟูมบ้า เด็กสาวที่ถูกลักพาตัวและกลายเป็นกำพร้าโดยจักรวรรดิโอโย ด้วยความตั้งใจที่จะขายเธอให้เป็นทาส “ฟูมบ้ามีจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและจริงใจ” บาดูซากล่าว “เธอสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตอนที่เราเริ่มหนังเรื่องนี้ และเรื่องราวของเธอก็เกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางของเธอ ฟูมบ้าไม่ใช่นักสู้ เธอไม่ใช่ทหาร เธอไม่ใช่นักฆ่า แต่เธออยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ ที่เธอต้องกลายเป็นแบบนั้น นี่เป็นการเดินทางของใครบางคนที่กลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เคยเป็นมา เพื่อที่จะมีชีวิตรอด”
กษัตริย์
พระองค์ทรงดำเนินประหนึ่งแผ่นดินโลกได้รับเกียรติจากภาระที่มันแบกรับ
ในตอนที่ จอห์น โบเยกา อ่านประโยคนั้น เขาก็รู้ว่าเขาจะยอมรับบทบาทของกษัตริย์เกโซ “นี่เป็นหนึ่งในบทช่วงแรกที่จีนาบอกกับผมในจดหมายของเธอเกี่ยวกับการรับบทนี้” เขากล่าว “มันอธิบายตัวเขาอย่างละเอียด และมันก็ทำให้ผมมีโอกาสแสดงความเก่งกาจในการแสดงซึ่งค่อนข้างน่าตื่นเต้นสำหรับบทบาทนี้”
หลังจากเพิ่งทำรัฐประหารได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากนักรบอะโกเจีย ซึ่งปลดพี่ชายของเขาออกจากบัลลังก์ เกโซยังใหม่ต่อบัลลังก์นี้ “เขาเป็นกษัตริย์หนุ่มที่มีความรู้สึกขัดแย้ง ผู้กำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่แปรปรวน” โบเยกากล่าว “นี่เป็นช่วงเวลาที่ซับซ้อนมากในประวัติศาสตร์ของเขา หลังจากการขึ้นครองบัลลังก์ภายใต้เสียงโต้เถียง เขาก็อยู่ในจุดที่ความเป็นผู้นำและการตัดสินใจจะมีความหมายทุกอย่างสำหรับอนาคตของชาวดาโฮมี”
การตัดสินใจที่เขาต้องทำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและมีผลกระทบในวงกว้าง “เขากำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่นานิสก้าให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เกี่ยวกับผลกระทบของความโหดร้ายของมนุษย์ในสังคมของพวกเขา การตัดสินใจที่ว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมในการค้าทาสมากเท่ากับกษัตริย์องค์อื่นๆ หรือไม่” โบเยกาตั้งข้อสังเกต “การค้าทาสกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในเวลานั้น ผมคงต้องบอกว่าเกโซรู้สึกขัดแย้งหลายอย่าง และเขาก็เป็นชายหนุ่มที่ต้องรับมือกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจด้วย”
“ในตอนที่ฉันอ่านบทหนังเรื่องนี้จบ คนแรกที่ฉันนึกถึงสำหรับบทเกโซคือจอห์น โบเยก้า ฉันคิดทำนองว่า ‘ต้องเป็นจอห์น!’” ปรินซ์-ไบธ์วู้ดเล่า “ในตอนที่จอห์นเดินไปที่กองถ่าย ผู้คนจะหยุด คุณจะรู้สึกถึงพลังและการมีอยู่ของเขา สิ่งที่เขานำมาสู่ตัวละครตัวนี้มีมากยิ่งกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้อีก เขาเป็นกษัตริย์ของเราอย่างแท้จริง”
กษัตริย์เกโซเป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ของเขาใน The Woman King ก็มาจากเหตุการณ์จริง “เป็นกระบวนการที่น่าสนใจในการสำรวจตัวละครที่มีอยู่จริง” โบเยกากล่าว “ผมมีตำราประวัติศาสตร์และหนังสือหลายเล่มที่จีนาแนะนำ เขาทำบางอย่างที่ผมเห็นด้วย และบางอย่างที่ผมไม่เห็นด้วย แต่ท้ายที่สุด คุณก็ต้องแยกตัวเองออกจากการค้นคว้าข้อมูล ผมมาที่นี่เพื่อแสดงประสบการณ์จริงและสร้างตัวละครจากการค้นคว้าข้อมูลที่เราทำ”
ผู้มาเยือนจากดินแดนไกลโพ้น
ผู้ที่มาเยือนท่าเรือทาสในเวดาห์คือชายสองคนที่จะส่งผลกระทบสำคัญต่ออาณาจักรดาโฮมี
ฮีโร ไฟน์ ทิฟฟิน รับบทเป็น ซานโต เฟอเรรา ชาวบราซิลเชื้อสายโปรตุเกส ลูกชายของพ่อค้าทาสที่ตอนนี้เป็นนายเรือของตัวเอง ผู้ขนส่งทาสจากแอฟริกา “ซานโตกำลังเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรกเพื่อทำธุรกิจในต่างประเทศ” ฮีโร ไฟน์ ทิฟฟินกล่าว เขาเคยไปกับพ่อหลายครั้งแล้ว และนี่ก็คือโอกาสของเขาที่จะพิสูจน์ตัวเอง เขาต้องเจอการทดสอบเล็กน้อย แต่เขาก็มั่นใจ
ทุกสิ่งที่ซานโตมีผูกติดกับการค้าทาส และเขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อให้มันดำเนินต่อไป มาลิค ไดอัลโล ตัวละครของจอร์แดน โบลเกอร์ มาเยือนพร้อมกับซานโต แต่เขาแตกต่างออกไปมาก โบลเกอร์พูดถึงเขาว่าเป็น “คนที่อยู่ตรงกลาง เขาเป็นลูกชายของทาสและพ่อค้าทาส การเดินทางของเขาเป็นการเดินทางเพื่อการค้นพบและการเติบโต ฉันเป็นใคร? ฉันเชื่อในสิ่งไหน? ฉันจะยืนหยัดเพื่ออะไร? ฉันอยากจะเป็นใคร?”
พวกโอโย
โอบา นายพลของจักรวรรดิโอโย ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลักของดาโฮมี จิมมี โอดูโคยา กล่าวว่า ตัวละครของเขา “มีอคติ ยกเพศชายให้เป็นใหญ่ เขาไม่มีความเคารพต่อผู้หญิงเลย เขารู้สึกว่าผู้หญิงไม่ควรจะอยู่ในกองทัพ เขาก็เลยดูถูกพวกอะโกเจีย เขารู้สึกรังเกียจแนวคิดของกองทัพผู้หญิง และคุณก็จะได้เห็นความรู้สึกนั้นในทัศนคติและพลังงานที่เขามีต่อนักรบดาโฮมีด้วย เขารับพวกเธอไม่ได้”
The Woman King เข้าฉาย 12 มกราคมนี้ ในโรงภาพยนตร์