“Whitney Houston อาจจะเป็นศิลปินหญิงร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” Clive Davis ผู้บริหารค่ายเพลงวัย 90 ปี ผู้มีบทบาทสำคัญต่อเส้นทางนักร้องของศิลปินดังอย่าง Janis Joplin, Bruce Springsteen, Sly and the Family Stone, Billy Joel, Chicago, Pink Floyd ฯลฯ กล่าวยกย่องฮุสตันถึงขั้นสูงสุด และกล่าวว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ดนตรีของเธอยังคงตราตรึงใจพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ “ความสามารถของเธอในการร้องเพลงอัพเทมโป บวกกับความสามารถในการควบคุมเสียงที่เหลือเชื่อในการร้องเพลงบัลลาดทำให้เธอเป็นสุดยอดนักร้องป๊อปสุดยอดนักร้อง R&B นั่นทำให้เธอโดดเด่นกว่าใครๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้และเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังคงรำลึกถึงเธอ”
ผู้ชมจะมีโอกาสได้จดจำและรำลึกถึงฮุสตันและเสียงอันเหลือเชื่อของเธอในโรงภาพยนตร์ด้วยการเข้าฉายของ I Wanna Dance with Somebody ภาพยนตร์ชีวประวัติทางดนตรีที่จะทำให้แฟนๆ ของวิทนีย์ได้รับรู้ถึงแง่มุมมที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเกี่ยวกับชีวิตและเส้นทางนักร้องของไอคอนคนดัง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นทั้งการยกย่องชัยชนะในชีวิตของเธอและเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของโศกนาฏกรรมที่พรากเธอไปจากเราก่อนเวลาอันควร
“เราจะต้องเฉลิมฉลองให้กับวิทนีย์” นาโอมิ แอ็คกี้ ผู้รับบทไอคอนคนดังใน I Wanna Dance with Somebody กล่าว“ตอนนี้ เราสามารถมองย้อนกลับไปและรับรู้ได้แล้วว่า ไม่มีใครเหมือนเธออีกแล้ว เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งทศวรรษแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเหมือนเธอ”
“เราอยากทำให้ I Wanna Dance with Somebody เป็นหนังที่อุทิศให้กับคนที่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ หนึ่งในคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะได้เห็น ในแบบที่รุ่มรวย งดงาม น่าประทับใจและมีความเป็นมนุษย์มากๆ” ผู้กำกับคาซี เลมมอนส์ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าว เธอได้ร่วมมือกับทีมงานสร้างสรรค์ที่นำภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกอย่าง Bohemian Rhapsody มาสู่จอเงิน ซึ่งรวมถึงมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง แอนโธนี แม็คคาร์เทน “เธอมีเรื่องราวที่ซับซ้อน ในแบบที่มนุษย์เราทุกคนซับซ้อน เราสามารถเข้าใจเธอและอุปสรรคที่เธอต้องฝ่าฟัน ความกดดันที่เธอเผชิญ และเราก็ได้ทำความเข้าใจตัวเธอ”
สำหรับแฟนๆ ของฮุสตัน เรื่องราวของวิทนีย์ไม่เคยได้รับการบอกเล่าออกมาอย่างแท้จริงเลย พวกเขาคุ้นเคยดีกับเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาที่มีวัตถุประสงค์ในการ “บอกเล่าทุกอย่าง” ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ปี 2015 และสารคดีปี 2018 แต่โปรเจ็กต์ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนแล้วแต่สร้างความผิดหวังให้กับแฟนๆ ที่ผู้คนที่สนิทสนมกับเธออย่างมาก ไม่มีเรื่องไหนที่สำรวจหรือยกย่องส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของวิทนีย์ ซึ่งก็คือดนตรีของเธอเลย ในทางกลับกัน ทั้งสองเรื่องกลับให้น้ำหนักไปที่พาดหัวข่าวอื้อฉาวที่ปิดบังตัวตนจริงๆ ของวิทนีย์เอาไว้ สำหรับ I Wanna Dance with Somebody เดวิสกล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของหนังเรื่องนี้คือการนำเสนอวิทนีย์แบบเต็มๆ ภารกิจของผมคือการทำให้แน่ใจว่าเราจะนำเสนอชีวิตของนักร้องผู้ยิ่งใหญ่และสิ่งที่ทำให้เธอพิเศษสุด ไม่เหมือนใคร เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่การลบล้างภาพผลลัพธ์ร้ายแรงที่เกิดจากยาเสพติด การที่พวกมันทำให้คนที่โดดเด่นเดินมาสู่จุดจบเศร้าสลดก่อนวัยอันควรได้ยังไง นอกจากนั้น หนังเรื่องนี้ยังตั้งใจจะนำเสนอคนที่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ เหตุผลที่ทำให้เธอเป็นที่รักและพรสวรรค์หาตัวจับยากที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก”
ในลักษณะนี้ I Wanna Dance with Somebody จึงไม่ใช่เพียงโอกาสที่แฟนๆ จะได้รำลึกถึงชีวิตและดนตรีของไอคอนคนดังอีกครั้ง แต่ยังจะนำเสนอมุมมองของวิทนีย์ ที่บอกเล่าโดยผู้คนที่รู้จักเธอดีที่สุดด้วย “เรามีโอกาสที่จะสร้างชีวประวัติที่โดดเด่นของวิทนีย์ ฮุสตัน” ผู้อำนวยการสร้างแมทท์ แจ็คสันกล่าว “ด้วยความที่เราได้ร่วมงานกับไคลฟ์ รวมไปถึงแกรีและแพ็ท ฮุสตัน น้องชายและน้องสะใภ้ของวิทนีย์ เราก็เลยสามารถเล่าเรื่องราวของเธอด้วยความจริงได้ เราได้เข้าถึงระดับความเข้าใจและรายละเอียดในแบบที่เราคงไม่มีทางรู้ได้ถ้าเราสร้างหนังเรื่องนี้โดยปราศจากความร่วมมือจากครอบครัวของเธอ”
นอกจากนั้น สำหรับผู้อำนวยการสร้างเดนิส โอ’ ซัลลิแวน ภาพยนตร์อัตชีวประวัติเรื่องนี้ยังนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างมากจากสารคดี “หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตของวิทนีย์ในแบบหนังที่ถ่ายทอดประสบการณ์” เขากล่าว “ในแง่หนึ่ง สารคดีทำให้เรามีอิสระมากมาย เราสามารถสำรวจแง่มุมไหนก็ได้ในชีวิตของวิทนีย์ ที่เรารู้สึกว่าสามารถบอกเล่าเรื่องราวของเธอได้ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน เราก็แบกรับความรับผิดชอบใหญ่หลวง ต่อครอบครัวและแฟนๆ ของวิทนีย์ ในการสร้างหนังที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนว่าเราทำในสิ่งที่คู่ควรกับเธอ”
ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดวิสได้มีโอกาสพบกับมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง แอนโธนี แม็คคาร์เทน ซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ชีวประวัติเกี่ยวกับวงควีนเรื่อง Bohemian Rhapsody “ระหว่างมื้อค่ำในร้านอาหารนิวยอร์ก ไคลฟ์เสนอให้ผมพิจารณาวิทนีย์เป็นโปรเจ็กต์หนังเรื่องต่อไปของผม โดยสัญญาว่าเขาสามารถอำนวยความสะดวกในการแนะนำให้รู้จักกับผู้ดูแลผลประโยชน์ของฮุสตัน ซึ่งจำเป็นต่อการปลดล็อกการเข้าถึงดนตรีของเธอ ซึ่งหากขาดสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวศิลปินเรื่องไหนๆ ที่จะคุ้มค่าต่อการสร้างหรอก” แม็คคาร์เทนกล่าว “ตอนแรก ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเรื่องราวใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้รับการบอกเล่าของวิทนีย์อีกรึเปล่า แต่วันต่อมา ไคลฟ์ก็เปิดวิดีโอของวิทนีย์ที่แสดงเพลง ‘Impossibility Medley’ ให้ผมดู และผมก็ได้เห็นว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไงได้บ้างน่ะ”
แน่นอนว่าแม็คคาร์เทนรู้สึกตะลึงงันไปกับการได้รำลึกถึงชั้นเรียนขั้นสูงในการควบคุมด้วยเสียง ซึ่งก็คือการแสดงของฮุสตันที่งานอเมริกัน มิวสิค อวอร์ด ปี 1994 แต่เขากังวลเกี่ยวกับการนำเสนอเรื่องราวของฮุสตันในรูปแบบชีวประวัติเรื่องราวของวิทนีย์ ฮุสตันเป็นโศกนาฏกรรมไม่ใช่หรือ แต่หลังจากพบกับเดวิสครั้งที่สอง แม็คคาร์เทนก็เปลี่ยนความคิดของตัวเอง “หากเราตัดสินศิลปินจากระยะเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่ ชีวิตของเชคสเปียร์ก็ถือเป็นโศกนาฏกรรม” แม็คคาร์เทนกล่าว “ชีวิตของวิทนีย์คือชัยชนะ เธอมอบช่วงเวลาที่พิเศษเหล่านี้ให้กับเรา การแสดงที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้เรื่องราวนั้นยังไม่ได้รับการบอกเล่าออกมาเลย”
เนื่องจาก I Wanna Dance with Somebody จะรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ที่ควบคุมสิทธิ์ในเพลงของฮุสตัน ทีมผู้สร้างจึงรู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสพิเศษในการสร้างภาพยนตร์ที่จะแสดงความสามารถเฉพาะตัวของศิลปินคนดังออกมา “ดนตรีเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกหลุมรักวิทนีย์” คัลลิเกอรีกล่าว
“สารคดีและหนังสือไม่สามารถให้เสียงดนตรีแก่คุณได้” แม็คคาร์เทนกล่าว “ถ้าคุณพยายามเล่าเรื่องราวของวิทนีย์โดยไม่มีดนตรีแล้วล่ะก็ มันก็เหมือนเรื่องตลกที่ไม่มีมุกตลก และแม้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง เรื่องราวของวิทนีย์ก็ยังเป็นแรงบันดาลใจได้”
หลังจากร่วมงานกับแม็คคาร์เทนใน Bohemian Rhapsody ผู้อำนวยการสร้างเดนิส โอ’ ซัลลิแวนก็คุ้นเคยดีกับกระบวนการของแม็คคาร์เทนในการทำให้เพลงกลายเป็นเนื้อหาของชีวิต “สิ่งที่แอนโธนีทำได้ยอดเยี่ยมมากคือเขามักจะหาเพลงที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราว ในมือของแอนโธนี เพลงจะเน้นย้ำถึงอารมณ์และเหตุการณ์ที่คนๆ นั้นกำลังประสบอยู่” เขากล่าว “ด้วยวิธีนั้น เราก็เลยสามารถใส่เอาเพลงทั้งหมดที่เป็นเพลงหลักๆ สำคัญๆ ที่จำเป็นต่อการบอกเล่าชีวิตของเธอเข้าไปได้”
ในขณะเดียวกัน หากพวกเขากำลังจะเริ่มต้นการเดินทางนี้ ทีมผู้สร้างต้องการ – และจะได้รับ – การรับประกันว่า พวกเขาจะมีอิสระในการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของวิทนีย์ ทั้งความดี ความเลว และความอัปลักษณ์ “เราต้องการสนับสนุนฮีโรของเรา และวางพวกเขาไว้บนแท่น” คัลลิเกอรีกล่าว “แน่นอนว่าวิทนีย์ได้เผชิญกับปีศาจในชีวิตของเธอ เมื่อคุณใช้ชีวิตบนท้องถนน ออกทัวร์ 70 ครั้งต่อปี ไม่หลับไม่นอน แค่พยายามเอาชีวิตรอด มันง่ายมากที่จะตกหลุมพรางเพื่อผ่อนคลายตัวเอง” สำหรับทีมผู้สร้างภาพยนตร์ สิ่งสำคัญคือต้องบอกเล่าเรื่องราวในส่วนนี้เช่นกัน เป็นการบอกเล่าด้วยความเข้าอกเข้าใจและละเอียดอ่อน แต่ก็เป็นการเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่ยกยอหรือเยิ่นเย้อ ภายใต้การรับรองจากครอบครัวและผู้ดูแลผลประโยชน์ของฮุสตันว่าพวกเขาสามารถบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้ ภาพยนตร์ที่ออกมาจึงตีแผ่ทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
แหล่งข่าวหลักสำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของวิทนีย์คือตัวไคลฟ์ เดวิสเอง ในการทำงานร่วมกัน ทั้งสองมีการร่วมมือกันที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง “เรามีเพลงอันดับหนึ่ง 7 เพลงติดต่อกันจากสองอัลบัมแรก นั่นเป็นการทำลายสถิติตลอดกาล” เดวิสกล่าว “ผมพูดกับเธอว่า ‘วิทนีย์ นี่เป็นประวัติศาสตร์ บอกผมสิว่าคุณกำลังหยิกตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็จะไม่รู้ว่าคุณรู้ว่าสิ่งนี้พิเศษแค่ไหน’ และทุกครั้งที่เราหยอกล้อกัน เธอก็จะหยิกตัวเองจริงๆ”
“กระบวนการคัดเลือกเพลงต้องใช้คนสองคน – วิทนีย์กับผม” เดวิสกล่าว “วิทนีย์รับฟังทุกอย่าง เธอรู้จักผู้เรียบเรียงทุกคน ผู้อำนวยการสร้างทุกคน เธอฟังวิทยุตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ผมกำลังมองหาเพลงที่มีความพิเศษ ที่ผมรู้สึกว่าน่าจะฮิตมาก ความคิดแบบเดิมๆ คือการมองหาเพลงแนว R&B ที่มีศักยภาพในการข้ามไปสู่เพลงป๊อป แต่ผมไม่ได้มองหาสิ่งนั้น ผมต้องการเพลงที่ยอดเยี่ยม”
ตัวอย่างเช่น เดวิสอ้างถึงเพลง “I Wanna Dance with Somebody” “เดโมเพลงนี้ฟังแล้วเหมือนว่า โอลิเวีย นิวตัน-จอห์น สามารถร้องเพลงนี้ได้” เดวิสกล่าว “แต่เมื่อหูของผมเริ่มละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ผมก็รู้ว่าวิทนีย์จะใส่ความเร่าร้อนเข้าไปในเพลงนี้ได้”
แต่ถ้าเดวิสเป็นคนพบเพลง ฮุสตันก็เป็นคนที่ตีความบทเพลงเหล่านั้นผ่านการร้องเพลงของเธอ “เธอไม่ได้แต่งเพลงแต่เธอเลือกเพลงเหล่านั้น และเลือกเพลงเหล่านั้นในช่วงเวลาที่พวกมันจะสะท้อนถึงสิ่งที่เธอประสบในช่วงเวลานั้นในชีวิต” คัลลิเกอรีกล่าว “มันบ่งบอกว่าดนตรีต้องเป็นความจริงสำหรับเธอมากแค่ไหนและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในหนังเรื่องนี้ เพลงต่างๆ ถึงได้เข้ากับเส้นเรื่องในชีวิตของเธอ คุณจะได้เห็นอย่างชัดเจนเป็นพิเศษกับ ‘ Why Does It Hurt So Bad’ ไคลฟ์ต้องการให้เธอร้องเพลงนั้นในช่วงเริ่มต้นอาชีพของเธอ ตอนที่เธอมั่นใจและแน่ใจในตัวเอง เพราะเธอไม่เคยอกหักมาก่อน เธอมารู้ภายหลังเมื่อเธอพร้อม เธอพร้อมที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมา และเธอก็ทำได้”
อีกตัวอย่างหนึ่งคือในการแสดงเพลง “I Will Always Love You” ในตำนานของฮุสตัน เลมมอนส์มีตัวเลือกมากมายให้เลือก การดำเนินเรื่องทำให้ตัวเลือกกลายเป็นการตัดสลับเพลงด้วยการตัดต่อ ด้วยการตัดระหว่างการแสดงของฮุสตันที่คอนเสิร์ต ฟอร์ อะ นิว เซาธ์ แอฟริกา และชีวิตคู่ของเธอกับบ็อบบี้ บราวน์ ซึ่งหลายคนในชีวิตของฮุสตันตั้งคำถามในภาพยนตร์เรื่องนี้
และหากมีธีมที่แฝงอยู่ในงานของฮุสตัน ซึ่งเป็นธีมที่เป็นเหมือนการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นก็คือแนวคิดของการค้นหาครอบครัว การค้นหาบ้าน ความโหยหาในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มาพร้อมกับความรักและ ความเสน่หา วิทนีย์ ฮุสตัน ที่ปรารถนาจะเต้นรำกับใครสักคนที่รักเธอ “เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงจากละแวกบ้านที่ต้องการได้รับความรัก อยากมีบ้าน อยากมีคนที่ห่วงใยและรักเธอ และต้องการแบ่งปันความสามารถของเธอกับคนทั้งโลก” คัลลิเกอรีกล่าว “นั่นคือสิ่งที่เราได้ยินในเพลงของเธอ และนั่นคือสิ่งที่เธอค้นหาในชีวิตของเธอ”
รับชมภาพยนตร์ I Wanna Dance with Somebody ได้ในวันที่ 26 มกราคมนี้
I Wanna Dance with Somebody ชีวิตสุดมหัศจรรย์…วิทนีย์ ฮุสตัน
ความยาว: 146 minutes
ปีฉาย: 2022
Genre: Biographical musical drama
Director: Kasi Lemmons
Screenwriter: Anthony McCarten
Cinematographer: Barry Ackroyd
Editors: Daysha Broadway
Music: Whitney Houston
Casts: Naomi Ackie, Stanley Tucci, Ashton Sanders, Tamara Tunie, Nafessa Williams, Clarke Peters,
Producers: Denis O’Sullivan, Jeff Kalligheri, Anthony McCarten, Pat Houston, Clive Davis, Larry Mestel, Molly Smith, Thad Luckinbill, Trent Luckinbill, Matt Jackson, Christina Papagjika, Matthew Salloway