หลังจากที่ซีรีส์ House of the Dragon ได้เข้าฉายทาง HBO ไปทั่วโลกได้สองเอพิโสดแล้วนั้น ก็ได้มีการพูดถึงตัวละคร Lady Alicent Hightower กันอย่างมากมาย และโดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเธอระหว่างสองพ่อลูกอย่าง Rhaenyra Targaryen รัชทายาท และ King Viserys Targaryen ผู้ครองบัลลังก์เหล็ก ที่ดูเหมือนจะมีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ซ่อนอยู่ข้างในใจของเธอ นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าวันนี้เราจะนำบทสัมภาษณ์ของ Emily Carey ผู้รับบทเลดี้อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ ในวัยเยาว์ จากพอดแคสต์ของ HBO อย่าง The Official Game of Thrones Podcast: House of the Dragon ในตอนที่สอง “The Rogue Prince” มาฝากทุกๆ คนกัน
สำหรับในพอดแคสต์นี้ ได้ Jason Concepcion และ Greta Johnsen มาเป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยนักแสดงหลักอย่าง Emily Carey มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับตัวของ เลดี้ อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ ซึ่งเธอก็ได้อธิบายถึงลักษณะตัวละครของเธอเอาไว้ว่า Alicent Hightower เป็นตัวละครที่มีเรื่องราวมากมาย และการอธิบายถึงตัวละครนี้ต่างกันออกไปในแต่ละเอพิโสดที่เธอแสดง เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นมากมาย มีผู้คนจำนวนมากผลักดันเธอให้ไปอยู่ในจุดนั้นจุดนี้ ซึ่งตัวของ Alicent ก็เปลี่ยนไปอย่างมากจากครั้งแรกที่เราได้พบกับเธอ เธอดูจะเป็นคนที่แคร์คนอื่น แต่ก็ขี้วิตกกังวล แล้วเธอก็เป็นผู้ทำตามคำสั่งที่ดี
แน่นอนว่าเรื่องของ หน้าที่ (Duty) vs หัวใจ (Heart) นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับอลิเซนต์ เอมิลี่ แครี่ย์ ก็ได้บอกกับพอดแคสต์เอาไว้ว่าอลิเซนต์เป็นคนที่เคร่งครัดในหน้าที่ของตัวเองมาก เพราะอย่างที่เราเห็นได้ในสองเอพิโสดแรกนั้น เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่ถูกและผิดอย่างชัดเจน นั่นทำให้เมื่อมีเรื่องของความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจึงมักจะไม่รู้วิธีการรับมือและตอบสนองกับมันสักเท่าไหร่ แม้ว่าเธอรู้และตระหนักถึงความเป็นไปของโลกรอบตัวเป็นอย่างดี รู้ว่าเกมช่วงชิงอำนาจนั้นพวกเขาเล่นกันอย่างไร แต่ เอมิลี่ก็ไม่คิดว่า อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ จะอยากกลายเป็นหมากในเกมของคนพวกนั้นหรอก
เหตุผลหนึ่งคือด้วยความที่ อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ เป็นเพื่อนสนิทของ เรนีรา ทาร์แกเรียน พวกเธอเป็น Besties ของกันและกัน สาเหตุที่พวกเธอสนิทกันมากเพราะเติบโตมาด้วยกัน อยู่ข้างกันมาโดยตลอด แต่มันก็จะมีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะ Rhaenyra ‘Targaryen’ มักจะเป็นคนที่ได้อยู่ข้างหน้าเสมอ นั่นทำให้อลิเซนต์ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ชาญฉลาด
ซึ่งต่อจากนี้เรื่องราวต่างๆ จะทำให้ตัวละคร Lady Alicent Hightower พัฒนาไปทีละน้อยตลอดทั้งซีรีส์
ความสัมพันธ์ระหว่าง Alicent Hightower และ Rhaenyra Targaryen ในตอนที่สองล่ะ?
“ในเอพิโสดที่สองของ House of the Dragon ฉันคิดว่าอลิเซนต์เริ่มจะรู้สึกได้ถึงนัยยะของการพบกันระหว่างเธอกับวิเซริสแล้วนะ” เอมิลี่ แครี่ย์ บอกกับผู้ดำเนินรายการทั้งสองคน “แต่ยังไงฉันก็ยังไม่คิดว่าเธอจะรู้จริงๆ นะ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือถ้าหากเธอรู้แล้ว เธอก็คงไม่อยากจะเชื่อมันสักเท่าไหร่หรอก” เธอยังบอกต่อด้วยว่า “แล้วก็นะ มันมีความไม่ตรงไปตรงมาอยู่เหมือนกัน เพราะเราเล่นกับความคลุมเครือที่ว่า ‘เธอรู้มากน้อยแค่ไหน’ อย่างที่ฉันบอกไป เธอจะรู้ความเป็นไปในเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องของสิ่งอื่นดี แต่ไม่ใช่กับเรื่องของตัวเธอเอง”
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอลิเซนต์และเรนีราเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เอมิลี่บอกกับพอดแคสต์เอาไว้ว่า “มันเหมือนมีความรู้สึกผิดวนอยู่รอบๆ ตัวทุกครั้งในตอนที่อลิเซนต์คุยกับเรนีรา การเพิ่งเสียแม่ไปของเธอทำให้พวกเธอใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉันคิดว่าในตอนที่ 2 เรามีซีนที่สวยงามมากๆ ใน The Sept” เธอเสริมต่อว่าในฉากนั้น พวกเธอ reshoot กันด้วย เพราะว่าในฉากนั้นมีหลากหลายสิ่งอยู่ในนั้น รวมถึงการเขียนบทอันสวยงามของ Ryan Condal (ผู้สร้างและผู้เขียนบท) ด้วย “ณ จุดนั้น พวกเธอทั้งคู่มีปมในใจเรื่องเดียวกัน แล้วก็เหมือนว่า ที่ตรงนั้นแหละ ที่พวกเราได้พบกับตัวตนของพวกเธอ เพราะก่อนหน้านี้พวกเราไม่ค่อยจะได้เห็นพวกเธอทั้งสองคนอยู่ด้วยกันสักเท่าไหร่ ฉันคิดว่า ระหว่างพวกเธอมันมีความรู้สึกอันแสนจะเปราะบางบางอย่างที่ทั้งสองคนมีร่วมกัน ในแบบที่เราจะไม่ได้เห็นพวกเธอมีกับคนอื่นในเรื่องตลอดทั้งซีรีส์เรื่องนี้ มันเหมือนมีฟองใต้น้ำระหว่างความสัมพันธ์ของเด็กสาวทั้งคู่ (หรือผู้หญิงทั้งสองคน) ในแบบที่ความรู้สึกนั้นของพวกเธอจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับใครเลย”
จากนั้น Host ก็ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของเด็กสาวทั้งสองที่ถูกนำเสนอออกมาในด้านความสนิทสนมที่ทำให้คนดูเข้าใจและรู้สึกว่าทั้งสองคนมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน และมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีมากโดยทั้งสองนักแสดง Emily Carey ในฐานะนักแสดงเควียร์ ก็ได้กล่าวขอบคุณโฮสต์ทั้งสองคนกับคำชมนั้น “ขอบคุณมากๆ เลย มันเป็นเรื่องที่เราพูดถึงกันเยอะมากๆ เลยล่ะ ในฐานะที่ฉันเป็นเควียร์ แน่นอนว่าฉันต้องอ่านตัวบทในความรู้สึกและมุมมองของเควียร์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้หรอกนะว่า Ryan Condal กำลังคิดอะไรอยู่ตอนเขียน แต่ฉันจับมันได้นะ”
เธอพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างอลิเซนต์และเรนีราเอาไว้ว่า “ฉันคิดว่าเพื่อนสาวของเรา โดยเฉพาะตอนช่วงอายุ 14 เนี่ย พวกเธอเป็น Besties เป็นเพื่อนสนิท มันเหมือนกับแฟนสาว คุณอยากจะใช้เวลาทั้งหมดของคุณกับเธอ คุณคิดว่าพวกคุณจะเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ต่อกันตลอดไป มันเป็นความใกล้ชิดที่จับต้องได้ โดยเฉพาะในฐานะผู้หญิง ที่พวกเราสามารถที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ากันได้ กอดกันได้ หรือจูบกันได้ เราจับมือในแบบที่ฉันคิดว่าเด็กผู้ชายไม่ทำ ซึ่งเราควรจะเปลี่ยนมันนะ มันไม่ใช่การสเตอรีโอไทป์ที่ทำให้ฉันรู้สึกเพลิดเพลินนักหรอก แต่ก็โชคร้ายที่มันยังมีอยู่ แล้วความใกล้ชิดนี้แหละที่ลากเส้นแบ่งระหว่างความสัมพันธ์แบบ Platonic กับ Romantic เพราะฉันคิดว่าในวัย 14 เราไม่รู้หรอกว่าทั้งสองอย่างนี้มันคืออะไร แปลว่าอะไร หรือแม้แต่ความรู้สึกพวกนั้นคืออะไร” เธอเสริมต่อด้วยว่า “ดังนั้น แน่นอนว่าพวกเราได้พูดถึงเรื่องนี้กันและพยายามแสดงความรู้สึกในส่วนนี้ออกมาด้วย และฉันก็ดีใจที่มันถูกถ่ายทอดออกมาได้”
จากนั้น Host ก็เสริมว่าความรู้สึกพวกนี้มันคงมีอิทธิพลมากๆ ต่อพวกเธอทั้งสอง เอมิลี่ก็ได้บอกว่า “ความรู้สึกมันยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะเมื่อเราวางให้พวกเธออยู่ในสังคม Westeros ที่ทุกคนห้ามไม่ให้พวกเธอแสดงความรู้สึกกับอะไรเลย”
แล้วสำหรับซีนใน The Sept ล่ะ? โฮสต์ก็ถามเกี่ยวกับความรู้สึกในใจของอลิเซนต์ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ จริงใจหรือเปล่า หรือว่ามีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย เอมิลี่เองก็ได้ตอบว่า ตอนที่เธอแสดงนั้น เธอแสดงด้วยความจริงใจ 100% แต่เธอก็รู้ว่ามันก็อาจจะมองเห็นเป็นการมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังด้วยก็ได้เหมือนกัน แม้เธอจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แล้วเธอก็ตอบติดตลกว่า เธอมักจะหลุดไปกับตัวละครบ่อยๆ เมื่อต้องถ่ายหลายเทค เธอจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เพราะในหัวของเธอกลายเป็นตัวละครนั้นไปแล้ว
และเธอยังเสริมอีกว่า ความศรัทธาสำคัญต่อตัวอลิเซนต์เป็นอย่างมาก มันก็เชื่อมโยงกับแม่ของเธอด้วย เพราะเราไม่รู้จักแม่ของเธอเลยทั้งในตัวบทและในหนังสือ และนั่นก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้ซับซ้อนและยากมากที่จะรู้และทำความเข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หากเราไม่ได้รู้จักพื้นหลังของเรื่องนี้ ซึ่งตัวเอมิลี่ แครี่ย์ และทีมเขียนบทก็ได้วางเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยกัน โดยที่ให้แม่ของ Alicent Hightower เป็นผู้เคร่งในศาสนา และเป็นเหตุให้การที่เธอยังมีศรัทธานี้ทำให้เธอรู้สึกยังเชื่อมโยงผูกพันกับแม่ของเธออย่างใกล้ชิด
แน่นอนว่า ความศรัทธานี้ก็จะมีมากขึ้นในช่วงที่ Olivia Cook รับบทเป็น Alicent Hightower ในตอนโตอีกด้วย
“ฉันคิดว่าเธอเพียงต้องการให้เรนีรารู้สึกปลอดภัยในโลกที่เธอไม่เคยรู้สึกถึงความปลอดภัยจริงๆ และทางเดียวที่อลิเซนต์จะสามารถสื่อสารกับเรนีราได้ นั่นก็คือผ่านความศรัทธาของเธอ” เอมิลี่กล่าวถึงเกี่ยวกับความรู้สึกของอลิเซนต์ในฉากนั้น แล้วยังเสริมอีกว่า “ในขณะที่อลิเซนต์ทำไปเพื่อเหล่าทวยเทพ แต่เรนีรากลับไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก ที่เธอคุกเข่าก็เพื่ออลิเซนต์เท่านั้น” ซึ่งเธอยังบอกอีกว่าถึงแม้ฉากนั้นจะถ่ายทำกันใน The Volume ที่ล้อมรอบด้วย LED แต่เธอก็รู้สึก emotional มาก (ในความรู้สึกของตัว Emily เอง) อย่างที่ไม่ได้คาดเอาไว้
อาการจิกเล็บของอลิเซนต์ กับความวิตกกังวลของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คืออาการวิตกกังวลของอลิเซนต์ที่เธอจิกเล็บของตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่เธอรู้สึก โฮสต์ก็ได้ถามกับเอมิลี่ว่าความรู้สึกนั้นมันรีเลทกับเธออย่างไร ซึ่งเอมิลี่ก็ตอบติดตลกว่า เธอรู้สึกรีเลทนะ เพราะว่าเธอเคยถูกวินิจฉัยมาแล้วว่าเธอเองก็เป็น เธอเข้าใจมันมากๆ แถมเธอยังเรียกตัวเองว่าเป็น mentally ill queen อีกด้วย และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเล่นเป็นตัวละครที่มีอาการ anxiety จริงๆ
เอมิลี่รู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในเซตติ้งปัจจุบัน มันคงจะถูกขยายและลงรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ด้วยสังคมและบริบทใน House of the Dragon ก็เลยทำให้ตัวอลิเซนต์ต้องเก็บกดมันเอาไว้ ซึ่งวิธีการเดียวที่มันสามารถไหลรั่วออกมาได้ก็คือ การแสดงออกผ่านการฉีกเล็บของเธอ ซึ่งเอมิลี่บอกว่ามันตลกมาก เพราะว่าเธอก็เคยเป็นแบบอลิเซนต์เหมือนกัน
ซึ่งตัวละคร Alicent Hightower กับ Emily Carey ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือ พวกเธอเป็นคนชอบเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็มักจะหลุดรอดออกมาข้างนอก ซึ่งสิ่งที่เธอเรียนรู้จากการรับบทนี้คือการไม่กดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ เพราะยิ่งกดเอาไว้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งพยายามหลุดรอดออกมามากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างอลิเซนต์ วิเซริส และออตโต
“พูดตามตรงต้องบอกว่าฉันรับงานนี้ตอนอายุ 17 ฉันกลัวมากตอนที่ได้อ่านบท” เอมิลี่บอกกับโฮสต์ทั้งสองคน “ฉันต้องเข้าฉากกับผู้ชายที่โตแล้ว แต่พอได้เข้าไปในกองถ่าย ฉันกับ Paddy Considine (ผู้รับบท Viserys) ก็สนิทกันเพราะว่า Drag Race นะ เขาเป็น Drag fan เหมือนกับฉัน” เอมิลี่ตอบอย่างร่าเริง ซึ่งหนึ่งในบทสนทนาที่ดีที่สุดของเธอก็คือตอนที่เธอพยายามผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยการถามว่าดู Drag Race ไหม “หนึ่งในบทสนทนาที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีบทหนึ่งคือตอนที่ฉันถาม Milly Alcock (ผู้รับบท Rhaeyra] ว่าเธอดู Drag Race ไหม (อีกครั้งที่ฉันพยายามผูกสัมพันธ์กับคนอื่น) แล้วฉันก็ได้ยินเสียงจาก Paddy ดังขึ้นมาจากอีกฟากของห้องว่า ‘ดู Drag Race กันด้วยหรอ’ แล้วฉันก็แบบ ‘ห๊ะ’ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสนิทหลังกล้องของพวกเรา”
เธอเสริมต่อด้วยว่า “แต่ในจอ ฉันพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนที่เรากำลังพบเจออยู่ตอนในนี้นะ ว่าพวกเขาเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเพื่อนกันได้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มีสัญญาณว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์แปลกประหลาดนี่น่ะ ฉันเห็นว่าตัวของเธอก็แบกเงาของคำว่าพ่อเพื่อนสนิทเอาไว้ข้างหลัง ส่วนเขาเองก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับเด็ก” เธอพูดถึงความสัมพันธ์ตรงนี้เอาไว้ผ่านพอดแคสต์ในครั้งนี้ “มันประหลาดและยากมากที่จะเข้าใจบริบทของมัน เพราะอย่างที่เรารู้ว่าในฐานะนักแสดง ทำงานใน Westeros มันก็แปลกประหลาดพออยู่แล้ว แล้วต่อมาก็ต้อง ฉันไม่รู้จะใช้คำไหนดีเลย แบบ ต้องพยายามจะเข้าใจบริบทของสิ่งต่างๆ แล้วคิดว่าในโลกปัจจุบันมันคืออะไร เข้าใจใช่ไหม”
“อย่างเช่น มังกร เราได้พูดคุยในการซ้อมเกี่ยวกับการเข้าหาและปฏิบัติตัวกับมังกร อย่างอลิเซนต์ก็มองเห็นพวกมันเป็นเหมือนหมายักษ์ เธอก็รู้สึกกลัวพวกมันนะ เด็กสาวคนหนึ่งจะเข้าหามังกรอย่างไร นั่นคือวิธีการเข้าหามังกรของอลิเซนต์” เธอเสริมต่อว่า “ที่นี้การเข้าใจบริบทของเรื่องนี้มันแปลกประหลาดก็คือว่า ถ้าฉันพูดว่า ‘โอ้ ใช่ ฉันจะไป รู้ไหม ไปพูดคุยพบปะเล็กๆ น้อยๆ กับพ่อของเธอในห้องนอนของเขา’ มันแปลกนะ แต่ในโลกนั้น มันแปลกน้อยกว่าหน่อย ถ้านั่นมันจะดูเมคเซนส์นะ แต่ในมุมมองของคนปัจจุบันที่มีต่อบท มันจะกวนใจมากกว่า ฉันคิดว่านะ”
เธอบอกต่อด้วยว่า “แล้วก็ในหนังสือบอกว่า อลิเซนต์ก็เคยเข้าไปอ่านหนังสือให้กษัตริย์เฒ่าฟัง เพราะงั้นการพบกันครั้งแรกของ วิเซริสและอลิเซนต์จะดูลดความประหลาดลงไปบ้างเล็กน้อย แล้วที่เหลือก็คือคำถามว่า อลิเซนต์รู้สึกถึงเจตนารมณ์ของการพบปะกันนี้มากแค่ไหน” เธออธิบายต่อถึงความสัมพันธ์นี้ “และอีกครั้ง ฉันคิดว่าฉันอยากทำให้มันดูคลุมเครือ ฉันอยากให้คนดูรู้สึกสับสนไปกับเธอ สิ่งที่ฉันอยากให้ทุกคนได้ไปคือคำถามว่า ‘เธออยากมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า’ ‘ที่ทำอยู่นี่เพื่อเธอหรอ’ ‘หรือนี่เพื่อพ่อของเธอ’ ‘ที่เธอทำอยู่ที่เพื่อใครกันแน่’ เพราะในฐานะนักแสดง ฉันมักจะพูดกับ Miguel Sapochnik (โชว์รันเนอร์) บ่อยๆ ว่า ‘ฉันไม่รู้เลยว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่’ แล้วเขาก็จะตอบว่า ‘โอเค เล่นไปเลย’ แล้วฉันก็จะแบบ ‘ไม่ บอกอะไรฉันสักอย่างเถอะ ฉันไม่รู้ บอกฉันทีว่าต้องรู้สึกยังไง’ แล้วเขาก็จะบอกว่า ‘ไม่ล่ะ เล่นไปทั้งอย่างนั้นแหละ เล่นไปแบบที่ไม่รู้ และกลัวที่ไม่รู้’ เพราะนั้นคือสิ่งที่อลิเซนต์รู้สึกจริงๆ เธอไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มันคือความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้”
อย่างในซีนรูปปั้นมังกรในซีรีส์เรื่องนี้ กับนัยยะที่เกิดขึ้นภายในซีนนั้น เอมิลี่ก็ได้อธิบายเอาไว้ว่า “ในซีนกับรูปปั้นมังกร ตอนที่มันตกพื้น มันมีช็อตที่สวยงามช็อตหนึ่งที่เราเกือบจะเหมือนจับมือกัน เพราะฉันก้มเก็บมังกรและจะส่งมันคืนให้เขา แล้วมันก็รู้สึกเหมือนกับว่านั่นก็โอเคนะ แต่หลังจากนั้นเธอตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและรู้ถึงนัยของการสัมผัสมือนั้น”
“คำถามใหญ่คำถามหนึ่งในซีรีส์นี้คือ เจ้ารับใช้ตนเองหรือรับใช้อาณาจักร? และอลิเซนต์ก็ยังไม่รู้คำตอบนั้น”
“เธออายุ 14 และกำลังหาคำตอบนั้นอยู่ เธอถูกโยนมาให้อยู่ในจุดนี้ที่เธอยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ส่วนหนึ่งคือเธอทำในสิ่งที่ถูกบอกให้ทำแต่ก็ยังอยากได้อะไรบางอย่างกลับมาด้วย แบบ เฮ้ยนั่นอาจจะสวย นี่อาจจะดีนะ”
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอลิเซนต์และวิเซริสนั้น เราจะเห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก เอมิลี่ แครี่ย์ ก็บอกว่า “เราชอบบอกว่าพวกเขามีความรักให้กันมาก แต่พวกเขาไม่เคย in love กันเลยตลอดทั้งซีรีส์ มันมีความผูกพัน มันมีปมที่ทั้งคู่มีร่วมกัน ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ Alicent มีร่วมกับ Rhaenyra นะ มันออกจะแปลกๆ หน่อย แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ เธอสังเกตเห็นถึงปฏิกิริยาเดียวกันกับพ่อเธอในตอนที่เขาเสียแม่ของเธอไปในตัวของ Viserys ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเข้าหาเขาด้วยความอ่อนโยน ความเข้าใจ และเห็นใจด้วย” และเธอก็เสริมด้วยว่า “ฉันไม่ได้บอกนะว่าเธอเห็นเขาเป็นพ่อ ต้องขีดเส้นใต้ย้ำ มันประหลาด”
เอมิลี่เสริมว่า “เธอจับสังเกตความรู้สึกของเขาที่กำลังรู้สึกได้ ต้องระลึกไว้ว่าใน Westeros การเผยความรู้สึกออกมาโดยเฉพาะในผู้ชายไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะได้เห็น ในขณะเดียวกันนั่นทำให้เธอก็พอจะรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ มันเหมือนกับระเบิด มันเปราะบาง ไม่ใช่ในแบบของแก้วที่มันร้าวได้ แต่มันเปราะบางในแบบที่มันระเบิดตู้มได้ ซึ่งมันคืออะไรที่แบบ ฉันเดาอีกแล้วนะ ฉันสร้างเบื้องหลังตัวละครขึ้นมาเองเลย ฉันเดาว่าอะไรที่เธอจะทำกับพ่อของเธอในสถานการณ์นั้น (หมายถึงเข้าหาด้วยความอ่อนโยน) ฉันไม่คิดว่าคนอย่างออตโตจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมาให้ใครเห็นโดยเฉพาะต่อหน้าลูกสาว นั่นคือที่มาของความระแวดระวังที่มาพร้อมกับความอ่อนโยนเมื่อเธอเข้าหาวิเซริส”
แล้วเทคนิคการแสดงล่ะ?
Host ถามเธอเรื่องการรับบทเป็นเวอร์ชันเด็กของตัวละครว่าเธอมีเทคนิคอะไรบ้างไหม เนื่องจากที่เธอเคยรับบทแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบทของ Diana วัย 12 ปี ในภาพยนตร์ Wonder Woman หรือ Young Lara ในภาพยนตร์ Tomb Raider เวอร์ชั่นของ Alicia Vikander เมื่อปี 2018 ก็ตาม ซึ่ง Emily Carey ก็ตอบว่าเธอไม่มีเทคนิคอะไรเลย เธออาศัยเพียงใบหน้าของเธอเท่านั้น เธอพูดแบบติดตลก ตอนที่รู้ว่าต้องเล่นเป็นเวอร์ชันเด็กของ Olivia Cook เธอก็คิดว่าคงทำได้ เธออาจจะได้งานนี้ก็ได้ แต่พอรู้ว่ามันคือ Game of Thrones เธอถึงได้มาคิดใหม่ว่าคงไม่มีทางได้บทนี้แน่ๆ แต่สุดท้าย เธอก็คว้าบทนี้ไปครอง
อย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือเธอเล่าถึงตอนที่ได้รับบทมาอ่านว่าในบทนั้นไม่ได้เขียนว่า Young Alicent และเธอเองก็สงสัยมากๆ ทีมงานก็บอกว่าเธอจะแสดงเป็น Alicent Hightower ในเอพิโสดนี้ ๆ นะ เธอก็แบบ “เดี๋ยวก่อนนะพวก มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกน่า ไหนซีนของฉัน บอกมาเถอะ เดี๋ยวนะ นี่มันสิบเดือนในชีวิตของฉันหรอ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เพราะปกติการแสดงเป็นเวอร์ชันเด็กจะมีบทอยู่เพียงไม่กี่ซีนเท่านั้น มันจึงทำให้เธอสับสนไปหมด
และเธอยังบอกอีกว่าเธอกับโอลิเวียไม่ได้คุยกันถึงเรื่องตัวละครและเรื่องงานเลย เหมือนที่ Milly Alcock กับ Emma D’ Arcy ที่รับบท Rhaenyra Targaryen ทั้งในตอนเด็กและตอนโต ก็ไม่ได้คุยกันเลย เพราะพวกเธอถูกแนะนำว่าไม่ให้มีการพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะแม้จะเป็นตัวเดียวกัน แต่มีอายุห่างกันเป็นสิบปี ดังนั้นลักษณะนิสัยจึงต่างกันมาก
และสุดท้ายเธอก็พูดถึงความรู้สึกที่ได้รับบทและประสบการณ์ในสายอาชีพนี้ มันทำให้เธอได้พัฒนาฝีมือและได้เจอกับมืออาชีพมากมาย เธอทั้งรู้สึกดีใจและขอบคุณที่ได้มาอยู่ในจุดนี้
คุณสามารถรับชมซีรีส์ House of the Dragon ได้ทาง HBO Go ทุกวันจันทร์ เวลา 8.00 น.
และรับฟังพอดแคสต์ The Official Game of Thrones Podcast: House of the Dragon ได้ทุกวันจันทร์เช่นเดียวกัน