‘ผี’ ตามขนบภาพยนตร์หรือนิทานพื้นบ้านของไทย หากไม่ปรากฏกายขึ้นในรูปแบบของวิญญาณอาฆาตที่หมายปองจะกลับมาอยู่ร่วมอาศัยกับคนเป็น ก็มักมุ่งหมายจะพาคนเป็นข้ามภพข้ามชาติไปอยู่กับตน รากความคิดของสองโลกที่ถูกขีดกั้นด้วยความเป็น-ตาย และความเปรียบเสมือนขั้วตรงข้ามนี้ส่งผลให้ ‘ผีไทย’ มักมีลักษณะเป็นอื่น มีพฤติกรรมแปลกแยกไปจากปกติวิถีของมนุษย์ หรือไม่แล้วก็อาจมีรูปร่างแปลกประหลาด มีลำแขนยืดยาวสำหรับหยิบมะนาวใต้ถุนบ้าน มีแต่ส่วนหัวล่องลอยไล่กินไก่ สถิตอาศัยอยู่ในต้นกล้วย บางกรณีถึงขั้นบินได้โดยใช้กระด้งฝัดข้าวแทนปีก ผีไทยจึงมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นคน เป็นหอกข้างแคร่ต่อความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ความแตกต่างอย่างสุดขั้วนี้บ่งชี้เป็นนัยว่าโลกหลังความตายย่อมไม่อาจหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้กับโลกแห่งความเป็นจริง ทว่าใน Irma Vep ฉบับซีรีส์ (หรือที่ตัวละครยืนกรานว่าคือ ‘ภาพยนตร์ขนาดยาวที่ถูกแบ่งย่อยเป็นแปดตอน’) โลกของผีนั้นหาได้แปลกแยกออกไปจากโลกของคนเป็น และ ‘ผี’ ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะศัตรูคู่อาฆาตของมนุษย์ แต่เป็นอดีตที่ยังคงแผ่ขยายอิทธิพลมาปกคลุมปัจจุบัน อย่างที่ตัวละครเสนอขึ้นมาในตอนหนึ่งว่า ‘คุณรู้ไหม จริงๆ แล้วผีแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความตาย มันเป็นเรื่องของสิ่งที่ตายซากอยู่ในจิตใจของเรา เป็นเรื่องของอดีตที่ฝังรากลึกอยู่ภายใน’
ช่วงหนึ่งของ Irma Vep ฉบับภาพยนตร์ปี 1996 เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสถึงความเหมาะสมของการนำนักแสดงชาวจีนอย่าง จางม่านอวี้ มารับบท Irma Vep ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่าตัวละครนี้เป็น ‘สัญลักษณ์ของกรุงปารีส’ เป็นแม่แบบของความขบถ เป็นตัวแทนของขบวนการใต้ดิน เป็นผู้นำของความแหกคอกนอกกฏเกณฑ์ในแบบฉบับคนฝรั่งเศส ในอีกความหมายหนึ่ง นั่นทำให้สิ่งที่เรอเน วิดาล (ซึ่งก็คือร่างทรงของตัวผู้กำกับโอลิวิเยร์ อัสซายาส) ทำ จึงเปรียบได้กับการรื้อถอนความหมายดั้งเดิมของ Irma Vep จากสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ไปสู่สัญลักษณ์ของความเป็นสากลในยุคหลังสมัยใหม่ ในทัศนะของอัสซายาส ตัวตนของ Irma Vep ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับอัตลักษณ์ตัวตนความเป็นฝรั่งเศส แต่อาจพลิกพลิ้วลื่นไหลไปเป็นคนเอเชีย ไปเป็นอื่น ฉากหนึ่งที่งดงาม เกิดขึ้นในตอนที่จางม่านอวี้หยิบชุดสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของ Irma Vep มาสวมใส่ ก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปลักขโมยสร้อยเพชรของหญิงสาวนางหนึ่ง นั่นคือชั่วขณะที่นักแสดงสาวผู้เป็นทั้งคนนอกที่ไม่ได้มีพื้นเพคาบเกี่ยวหรือกระทั่งพูดภาษาฝรั่งเศส กลายมาเป็น Irma Vep โดยสมบูรณ์
ความมหัศจรรย์ของ Irma Vep ในฉบับภาพยนตร์จบลงแต่เพียงเหตุการณ์ข้างต้น ทว่าในฉบับซีรีส์ เราคนดูจะได้พบกับความจริงอีกชุดหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาอ้างโต้แย้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ในฉบับภาพยนตร์ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่จางม่านอวี้ที่กลายไปเป็น Irma Vep แต่เป็นวิญญาณของ Irma Vep ต่างหากที่เข้าควบคุมเธออย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ จึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฉบับซีรีส์ เป็นทั้งการตรวจสอบ ตั้งคำถาม หรือกระทั่งท้าทายนิยามความหมายของ Irma Vep ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่ออัสซายาสกำลังเสนอกับเราคนดูว่าตัวละครนี้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นทั้งคนฝรั่งเศส หรือแม้แต่คนจีน เพราะ Irma Vep ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสียด้วยซ้ำไป นั่นคือตอนที่เรื่องเล่าใหม่อันมีลักษณะเกินจริงนี้ได้ตั้งคำถามต่อขีดจำกัดของเรื่องเล่าแบบสัจนิยมและการรับรู้ ‘ความจริง’ ของเราคนดูอย่างเถรตรงและรุนแรง ในฉบับภาพยนตร์ อัสซายาสอิงอาศัยองค์ประกอบอันสมจริงในการถ่ายทอดเรื่องราว (ทั้งการใช้จางม่านอวี้มารับบทเป็นตัวเอง ตลอดจนวิธีการถ่ายภาพที่เน้นความต่อเนื่องและสั่นไหว) ทว่าจนแล้วจนรอด มันกลับหยะหย่อนในการบันทึก ‘ช่วงเวลามหัศจรรย์’ จนทำให้ภาพที่ ‘จิตวิญญาณของ Irma Vep เข้าครอบงำจางม่านอวี้’ ถูกอ่านเป็น ‘จางม่านอวี้กลายไปเป็น Irma Vep’ เสียแทน
การสร้างเรื่องเล่าใหม่ในลักษณะสัจนิยมมหัศจรรย์ข้างต้นตอกย้ำให้เห็นถึงอิทธิพลของประวัติศาสตร์ ความทรงจำ ความเชื่อ ซึ่งล้วนมีผลต่อการประกอบสร้าง ‘ความจริง’ ขึ้นมาใหม่ ช่วงหนึ่งในฉบับภาพยนตร์ เรอเน วิดาล (ฌ็อง-ปิแอร์ เลโอด์) สารภาพหมดเปลือกกับจางม่านอวี้ว่าเขามองตัวละครนี้เป็นเพียง ‘หลอดเลือดกลวงเปล่า’ ขาดไร้ซึ่งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณภายใน ‘มันไม่มีอะไรให้คุณแสดงด้วยซ้ำ’ เขากล่าวอย่างเดือดดาล ก่อนที่นักแสดงสาวจะเผยความไม่เห็นด้วยอย่างทันควัน นั่นคือข้อแตกต่างสำคัญระหว่างเรอเน วิดาล ในฉบับภาพยนตร์และฉบับซีรีส์ ในฉบับปี 1996 เรอเน วิดาล มอง Irma Vep เป็นเพียง ‘ตัวละครหนึ่ง’ ขณะที่ฉบับซีรีส์ ซึ่งมีความเป็นร่างทรงของอัสซายาสมากกว่า มอง Irma Vep เป็นประวัติศาสตร์ เป็นความทรงจำ ตัวละคร Irma Vep ในฉบับสร้างใหม่จึงมีความเป็นจิตวิญญาณ เป็นภาพเสนอของอดีตที่มีเรื่องราวฝังจำติดตัวมาและไม่อาจสลัดออกจนกว่าจะได้รับการสะสาง
เป็นที่รู้กันว่าโอลิวิเยร์ อัสซายาส คบหาจนกระทั่งตกลงปลงใจกับจางม่านอวี้ หลังจากที่ทั้งสองร่วมงานกันในฉบับภาพยนตร์ ก่อนจะเลิกรากันอย่างเป็นทางการระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Clean ในปี 2003 ซึ่งเป็นผลงานที่ส่งเธอไปรับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ (เธอเป็นนักแสดงหญิงชาวเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนี้) จากนั้นจางม่านอวี้ก็ได้หันหลังให้กับวงการภาพยนตร์ไปอย่างถาวร ความสัมพันธ์ที่พังครืนลงอย่างไม่ทันระวังตั้งตัว การจบอาชีพนักแสดง ณ จุดสูงสุดอย่างปัจจุบันทันด่วน ได้ทิ้งช่องว่างขนาดใหญ่ให้แก่ทั้งอัสซายาสและโลกภาพยนตร์ ซึ่งในแง่หนึ่ง ได้ทำให้จางม่านอวี้มีลักษณะเป็น ‘ผี’ ไปโดยปริยาย ทว่าไม่ใช่ผีในขนบของภาพยนตร์สยองขวัญหรือตำนานความเชื่อพื้นบ้าน แต่เปรียบได้กับตะกอนความทรงจำ เป็นอดีตที่ยังคงตกค้าง เป็นประวัติศาสตร์ที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ระลึกถึง เป็นผีที่ตามหลอกหลอนทั้งอัสซายาสและโลกภาพยนตร์จวบจนปัจจุบัน
ช่วงหนึ่งของซีรีส์ เรอเน (แวงซ็องต์ มาเกญน์) และมีรา (อลิเซีย วิกันเดอร์) เปิดอกคุยกันถึงความอึดอัดคับข้องของการรีเมค Les Vampire ผลงานชั้นครูของหลุยส์ ฟิวยาด ผู้กำกับ และมูซิโดรา นักแสดงผู้รับบท Irma Vep เรอเนสารภาพอย่างซื่อตรงว่าเขาได้สูญเสีย ‘มนต์ขลัง’ ของตัวเองไปจนหมดสิ้น เขาไม่เชื่อว่าตนเองคู่ควรที่จะแตะต้องผลงานชั้นครูนี้ และการ ‘ได้พูดุยกับผีเจด ลี’ (ร่างทรงของจางม่านอวี้) ก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความคลางแคลงใจต่อตนเองขึ้นไปอีก พูดอีกอย่าง ‘ผี’ ใน Irma Vep ไม่ได้เป็นเพียง ‘ผีคนรักเก่า’ แต่ยังมีเนื้อหนังของความเป็น ‘ผีครู’ ที่หมายถึงบรรดาคนทำหนังที่เป็นตำนานผู้บุกเบิก เป็นผู้อุทิศตนให้แก่ศาสตร์ภาพยนตร์ในห้วงวันเวลาที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าภาพยนตร์คืออะไร ในอีกด้านหนึ่ง Irma Vep จึงทำงานในฐานะเครื่องสักการะครูหนัง นั่นคือเหตุผลที่ตัวซีรีส์ไม่เพียงเชื้อเชิญให้เราคนดูเข้าไปสังเกตการณ์การทำงานของคนเบื้องหลังในกองถ่าย Irma Vep แต่รวมถึงกองถ่าย Les Vampire ของหลุยส์ ฟิวยาด ด้วย (ทั้งหมดรับบทโดยนักแสดงชุดเดียวกับ Irma Vep) โดยเฉพาะในตอนที่หนังฉายให้เห็นภาพความลำบากตลอดจนความทุ่มอุทิศตนของบรรดานักแสดงและคนเบื้องหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากว่าจะออกมาเป็น ‘ภาพยนตร์’ สักเรื่องหนึ่งนั้นพวกเขาต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจมากเพียงใด
เรอเน วิดาล ในฉบับซีรีส์ถูกถามซ้ำๆ หลายครั้งว่าเหตุใด เขาจึงตัดสินใจ ‘รีเมค’ Irma Vep ฉบับภาพยนตร์ คำตอบของเขาเรียบง่าย ‘มันไม่ใช่การรีเมค มันคือการขยับขยายเรื่องราว’ ในอีกความหมายหนึ่ง ซีรีส์จึงเป็นทั้งส่วนขยายและเติมเต็มของเหตุการณ์ในฉบับภาพยนตร์ และหนึ่งในองค์ประกอบที่ถูกเพิ่มเสริมเข้ามาก็คือความเชื่อเรื่องผี (ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียง ผีจางม่านอวี้ แต่รวมถึง ผีมูซิโดรา ด้วย) องค์ประกอบอันมหัศจรรย์ที่ถูกเสริมเติมเข้าไปยังเรื่องเล่าที่ไม่ได้ทำงานเป็นเพียงภาพสะท้อนความป่วยไข้หรือจินตนาการเลื่อนลอยของเรอเน วิดาล แต่มันนำพาเราไปสู่ข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งที่ไม่สามารถไขแถลงด้วยหลักวิทยาศาสตร์หรือหลักเหตุผล ‘ภาพยนตร์คือประตูสู่โลกแห่งจิตวิญญาณที่เราไม่อาจเข้าถึงได้อีกต่อไปแล้ว’ มีรากล่าวอย่างหนักแน่นกับซินเธีย (ฟาลา เฉิน) ในตอนหนึ่ง และโดยปริยาย มันได้ฉายส่องให้เราได้เห็นว่าเหตุใด เรอเน วิดาล ในฉบับภาพยนตร์จึงล้มเหลวในการรีเมค Les Vampire นั่นเพราะ ในความเห็นของอัสซายาส ‘ภาพยนตร์’ ไม่ได้เพียงวางตั้งอยู่บนโลกของความเป็นเหตุเป็นผล ภาพยนตร์คือมนต์ดำ วิทยาศาสตร์และทุนย่อมล้มเหลวในการเข้าถึงแก่นแท้ของภาพยนตร์ เพราะนี่คือดินแดนที่เต็มไปด้วยวิญญาณไร้ร่าง และมันเลือกสิงสถิตแต่เพียงคนที่เปิดรับมันอย่างไร้ข้อแม้เท่านั้น
คุณสามารถรับชมฉบับซีรีส์ได้ทาง HBO GO และฉบับภาพยนตร์ได้ทาง Mubi