ไม่ว่าคุณจะรู้จัก Jodie Comer จากซีรีส์ Killing Eve เห็นหน้าวัยละอ่อนจาก My Mad Fat Diary ขึ้นเป็นควีนแห่งยอร์กจาก The White Princess เคยเห็นฉากตบหน้าฉาดใหญ่ใน Doctor Foster จะคุ้นกับเสียงเพราะๆ และยิ้มน่ารักๆ ในหนัง Free Guy หรือจะเห็นผ่านโซเชียลมีเดียที่มีคนพูดถึงนักแสดงอังกฤษคนนี้กันอยู่บ่อยๆ ก็ตาม
แล้วมาถึงตอนนี้ ก็อยากจะรู้จักกับเธอคนนี้ให้มากขึ้น อย่ารอช้า เพราะว่า The Noize Team คัดลิสต์ผลงานสุดปังของ Jodie Comer ออกมาให้คุณได้เลือกดูกันอย่างเต็มที่ ถ้าอยากรู้จักว่า Jodie Comer คือใคร คลิกได้เลย แต่ถ้าพร้อมที่จะดูผลงานปังๆ ของเธอแล้วล่ะก็ ต้องห้ามพลาดกับบทความนี้เลย
Monologue
Snatches: Moments from Women’s Lives EP.3 Bovril Pam (2018)
คุณเคยสงสัยในเพศวิถีของคุณหรือไม่? Snatches: Moments from Women’s Lives เป็นมินิซีรีส์ทั้งหมด 8 ตอน ที่เล่าเรื่องราวแบบ monologue ที่เขียนขึ้นมาและแสดงโดยผู้หญิงทั้งสิ้น โดยได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงที่ลุกขึ้นออกมาพูด ท้าทายกับสภาพสังคมที่เป็นอยู่ หรือยืนหยัดในสิ่งที่เธอเป็น ซึ่งมักจะต้องแลกด้วยราคาที่สูง
สำหรับตอนที่ 3 เป็นตอนที่ Jodie Comer แสดง โดยจะทำการสำรวจเกี่ยวกับเพศวิถีของตัวเอง ซึ่งโจดี้รับบทเป็น Linda และลินดาก็มีพนักงานจูเนียร์คนใหม่เข้ามา ชื่อว่า Bovril Pam สำหรับบทบาทนี้โจดี้เล่น Monologue คนเดียว ยาว 15 นาที เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาเรื่องทางเพศของลินดา จากความหงุดหงิดเพื่อนร่วมงาน ไปจนถึงการเข้าไปถึงความรู้สึกที่อยากรู้อยากเห็น อยากค้นหา และอยากทำความรู้สึกกับแพมให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิมในด้านต่างๆ แม้กระทั่งในเรื่องทางเพศก็ตาม
โจดี้ โคเมอร์ กับการแสดงบวกกับสำเนียงสเกาซ์ของเธอ อีกทั้งการเล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนจะธรรมดาของลินดาและแพม รวมไปถึงสัญญะต่างๆ ของตัวเรื่อง ทำให้เราไม่สามารถละสายตาจากการแสดงของเธอไปได้เลย
Alan Bennett’s Talking Heads EP.4 Her Big Chance (2020)
มาต่อกันด้วยบทบาทของ Lesley หญิงสาวที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะต้องเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงให้ได้โดยที่ไม่รู้ว่าต้องแลกมาด้วยอะไร ซึ่งผลงาน Monologue ชิ้นนี้เขียนโดย Alan Bennett ในช่วงยุค 80-90 เป็นงานที่ถูกเรียกว่าตลกเสียดสีชวนขันแต่แฝงด้วยความรู้สึกที่ทำให้ใจสลาย Her Big Chance เวอร์ชั่นนี้เป็นการนำมารีเมคใหม่อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้าบทดังกล่าวถูกถ่ายทอดโดย Julie Walters ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่โจดี้เคยให้สัมภาษณ์กับ BAFTA GURU ไว้ตั้งแต่ปี 2016 ว่าเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้อยากเป็นนักแสดง
ความท้าทายของงานแสดงชิ้นนี้ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เป็นการถ่ายทำเกิดขึ้นในช่วงล็อกดาวน์โควิดครั้งแรก ทุกอย่างกระชั้นชิดและมีเวลาระยะเวลาเตรียมตัวค่อนข้างน้อย โจดี้ให้สัมภาษณ์กับ Vogue UK ในปี 2020 ว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย…นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดที่ฉันเคยทำมา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากหลังจากได้สคริปต์ ความยาว 40 นาทีที่ต้องถ่ายทอดเรื่องราวด้วยตัวเอง เราเริ่มการซ้อมผ่าน Skype ไม่กี่วันหลังจากนั้น ใช้เวลาถ่ายทำกันวันเดียว โดยที่มีทีมงานในเซ็ตเพียงคนเดียวด้วย” ยิ่งไปกว่านั้นด้วยมาตรการควบคุมโควิดในขณะนั้นทำให้โจดี้ต้องแต่งหน้าเข้าฉากด้วยตัวเอง “มันก็สนุกดีนะ ได้สัมผัสถึงการเป็นนักแสดงยุค 80s ด้วย…ฉันพยายามเต็มที่ให้เข้าถึงบท Lesley มากที่สุด ฉันเขียนตาแบบ smoky eye ด้วยนะ”
ตลอดระยะเวลาร่วม 40 นาที คุณจะไม่สามารถละสายตาไปจากการแสดง จังหวะการเล่า น้ำเสียงที่โจดี้ถ่ายทอดออกมาได้เลย จนกว่าจะถึงประโยคสุดท้ายของ Monologue ว่า ‘Acting is really just giving’
Series
My Mad Fat Diary (2013-2015)
ซีรีส์วัยรุ่นบริทิช คอเมดี้-ดราม่า เซตติ้งในช่วงปี 1996 สร้างหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวไดอารี่ของ Rae Earl ที่ตีพิพม์ไว้ในชื่อ My Fat, Mad Teenage Diary นับว่าเป็นการเปิดประตูสู่โลกการแสดงของโจดี้อย่างเป็นทางการ ด้วยบทบาทของ Chloe Gemmel เด็กสาววัยใส แสนมั่นใจ เธอมีทุกอย่างเพียบพร้อมด้วยครอบครัว ฐานะทางบ้านที่ดี แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีว่าชีวิตจะสุขสมหวังไปเสียทั้งหมด แม้ว่าตอนแรกจะเปิดเรื่องด้วยความสัมพันธ์ว่าเป็นเพื่อนรักวัยเด็กของ Rae Earl เด็กสาวร่างท้วมอายุ 16 ปี ตัวละครเจ้าของไดอารี่ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากวอร์ดบำบัดทางจิต เพราะปัญหาการไม่ยอมรับ ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง จนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง และหนึ่งในเพื่อนที่เรย์อดที่จะเปรียบเทียบตัวเองด้วยไม่ได้ก็คือ โคลอี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละซีซั่น เราจะพบว่า ไม่ใช่แค่เรย์ที่แบกรับความยากลำบากในชีวิตวัยรุ่นเอาไว้ อย่างเช่นในเอพพิโสด Not I และ Glue ที่โจดี้บอกว่าสนุกมากที่ได้มีโอกาสให้ผู้ชมได้สำรวจอีกแง่มุมของชีวิตโคลอี้ด้วยเหมือนกัน
นี่คือตัวอย่างของซีรีส์น้ำดีที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกประหนึ่งได้เข้าไปรับการบำบัด เปิดใจและเติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละครทุกตัว เราท้าเลยว่า เมื่อคุณดูซีรีส์เรื่องนี้จบ จะไม่ได้รับเพียงแค่ความบันเทิงแต่จะได้แง่คิดดีๆ กลับไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการมองและรับมือกับปัญหาที่จะเข้ามา การเรียนรู้ที่จะเป็นคนให้กำลังใจและรับกำลังใจไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าในบางครั้ง เราเองไม่ได้เข้มแข็งถึงขนาดจะก้าวข้ามผ่านบางเรื่องไปได้ด้วยตัวคนเดียว
Doctor Foster (2015-2017)
หากซีรีส์ที่คุณสนใจอยู่ในหมวดละครชีวิตครอบครัว ความสัมพันธ์ดราม่าทริลเลอร์ยุ่งเหยิงสุดแซ่บแล้วล่ะก็ ซีรีส์เรื่องนี้จะถูกใจคุณเป็นพิเศษ เพราะในครั้งนี้ โจดี้ โคเมอร์ มารับบทเป็นเป็น Kate Parks เมียน้อยสุดสวย แสนแสบที่ต้องรับมือและประชันบทบาทให้ได้ใกล้เคียงกับทางด้านเมียหลวงสุดเก่ง แสนแกร่งที่ถูกถ่ายทอดอารมณ์โดย Suranne Jones ซึ่งทั้งสองคนนี้มีซีนประชันอารมณ์กันอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นซีนในห้องตรวจครรภ์ช่วงต้นเรื่อง หรือจะเป็นซีนห้องครัวในตำนาน ซึ่งเป็นซีนที่เมื่อผู้ชมได้ผ่านตาแล้ว ต้องมีซี๊ดปาก ร้องอู้หู ออกมาแน่นอน
และถึงแม้ว่าในชีวิตจริงการเป็นบ้านเล็กนับว่าเป็นการขัดต่อศีลธรรม หากเรามองด้วยตัดสินด้วยมโนธรรมที่เที่ยงตรง แต่กลับเป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมการแสดงในบทเมียน้อยรุ่นราวคราวลูกที่ควรจะทำให้เรารู้สึกเกลียดตัวละครนี้ไปเลยโดยไม่ลังเล กลับมีบางช่วงเวลาที่เรากลับสงสารตัวละครนี้อยู่เช่นกัน ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่นักแสดงทุกคนสามารถทำได้ แต่ Jodie Comer ทำให้เกิดขึ้นได้
Thirteen (2016)
Trigger Warnings: Violence, Drinking, Drugs & Smoking, Sex, Sexual Assault, Child Grooming
เป็นคุณจะทำอย่างไร? หากผู้หญิงคนหนึ่งในฐานะลูกสาว พี่สาวหรือเพื่อนสาวของคุณที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อ 13 ปีก่อน สามารถหลบหนีจากการกักขังของคนร้ายมาได้ แล้วกำลังจะกลับมาหาคุณ คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า ก็ดีแล้วน่ะสิ ทุกอย่างจะได้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่นั่นเป็นความจริง จริงหรือ?
โจดี้ในบท Ivy Moxam เหยื่อสาวผู้เคราะห์ร้ายที่เพิ่งจะสามารถหลบหนีจากบ้านคนร้ายที่กักขังเธอไว้ตลอด 13 ปี ซีรีส์ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตเธอที่เพิ่งได้กลับคืนมา ขณะที่กลับสู่ครอบครัว เพื่อน และคนที่เธอรักในความทรงจำของเธอ แต่ต้องไม่ลืมว่าภายหลัง 13 ปี ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่เธอต้องเผชิญ ในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นคดีลักพาตัว จึงต้องมีการสืบสวนคดีของฝั่งตำรวจเพิ่มเข้ามา เพื่อหาตัวคนร้ายมารับโทษ และยับยั้งเหตุที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในการสืบสวนเป็นธรรมดาที่จะต้องมีทั้งฝ่ายที่เชื่อและไม่เชื่อในข้อมูล จนถึงขนาดที่เธอถูกมองว่าหรือเธอเองไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นผู้ยินยอมและสมรู้ร่วมคิด
ไม่น่าแปลกใจที่เรื่องนี้จะส่งให้ Jodie Comer ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA TV ในสาขา Best Actress เป็นครั้งแรก ขณะที่เธออายุเพียง 24 ปีเท่านั้น ด้วยบทบาทที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ด้วยการแสดงของเธอสามารถทำให้ผู้ชมรับรู้ถึงความเจ็บปวดและบาดแผลที่ไม่เคยจางหายทั้งทางกายและด้านสภาพจิตใจ ความรู้สึกเสียใจ เคลือบแคลง สงสัย กระอักกระอ่วน สิ้นหวัง ทุกอย่างเธอแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านสีหน้าและแววตาของเธอ “13 years wasted, …I thought it was them – their fault but it yours”
The White Princess (2017)
ถ้าซีรีส์แนวอิงประวัติศาสตร์ว่าด้วยสงครามระหว่างตระกูล การแย่งชิงบัลลังก์ เล่ห์เหลี่ยมลูกล่อลูกชนแพรวพราวเป็นสิ่งที่คุณถูกจริตและคลั่งไคล้ โจดี้ โคเมอร์ก็มีอีกหนึ่งบทบาทที่เราพนันว่าจะโดนใจคุณอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปช่วงปี 1485 หลังจากศึก Battle of Bosworth ที่กษัตริย์ Richard III of York พ่ายแพ้ให้กับลูกชายของ Lady Margaret จากฝั่ง Lancaster จึงถูกยึดอำนาจ ลูกชายของเลดี้มาร์กาเร็ตจึงสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ในนาม King Henry VII แห่งราชวงศ์ Tudor ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องเผชิญคือ การไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนเพราะนี่นับว่าเป็นการได้บัลลังก์มาโดยข้ามลำดับศักดิ์ ดังนั้นเพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งที่มีมาในอดีตของสองตระกูล และเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากประชาชน การแต่งงานกับหญิงในตระกูล York จึงเป็นทางออก โจดี้ในบทบาทของ Elizabeth of York หรือ Lizzy จึงเข้ามามีหน้าที่สำคัญ แต่เป็นคุณจะทำอย่างไร? หากรู้ว่าชายที่คุณต้องแต่งงานด้วย(อย่างไม่ได้เต็มใจ) เป็นคนคนเดียวกับที่เพิ่งยึดอำนาจและฆ่าคนรักของคุณไปในสงคราม นั่นเพราะ Elizabeth มีความสัมพันธ์กับ Richard III อยู่ก่อนแล้ว ได้กลิ่นไหมทุกคน ได้กลิ่นความสนุกของซีรีส์นี้หรือยัง?
เรารู้สึกทึ่งกับการบาลานซ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนี้มาก เพราะด้านหนึ่ง เป็นเรื่องศักดิ์ศรีวงศ์ตระกูล ที่คละเคล้าไปด้วยความไม่เชื่อใจ ความเกลียดชัง และความคิดที่จะแก้แค้น ในขณะที่อีกฟากหนึ่งก็เป็นเรื่องของหัวใจตัวเอง เพราะชีวิตนี้ไม่เคยง่าย ทุกอย่างมันซับซ้อนมากกว่าที่จะแยกสีดำขาวอย่างชัดเจน ไหนจะภาระหน้าที่ในหลายบทบาทที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ผู้ชมจะได้เห็นความเข้มแข็ง แข็งแกร่งอาจไม่ใช่ทางกายแบบนักรบหญิงเรื่องไหน แต่ถ้าเป็นความเข้มแข็งทางจิตใจต้องยกให้ตัวละครนี้ “Family first, except when it comes to the throne”
Killing Eve (2018-2022)
หากพูดถึงนักฆ่าสาว ฝีมือดี และเป็นสายแฟชั่น ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Villanelle จาก Killing Eve ถือเป็นตัวละครที่หลายๆ คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ และยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะเป็นซีรีส์แนวแมวไล่จับหนู ที่ MI6 ไล่จับนักฆ่าฝีมือดีขององค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ Killing Eve ก็ยังเป็นการเล่าเรื่องราวความสัมพันระหว่างหญิงสาวสองคน ที่เริ่มต้นจากการอยู่ขั้วตรงข้าม แต่ต่างคนต่างหลงใหลกันและกันตั้งแต่ยังไม่ได้พบหน้า จนกระทั่งไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่ง ร่วมมือกันทำงาน จนกระทั่งยอมรับกันและกันอย่างแท้จริง แต่ด้วยเส้นทางเดินของพวกเขาทำให้ต้องแยกย้ายกันไปและปิดกั้นตัวเอง จนกระทั่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้และยอมรับอย่างจริงจัง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายๆ คนตกหลุมรัก Jodie Comer ในบท Villanelle ก็คือเรื่องของความสามารถและเจ้าแม่แฟชั่น ที่เธอเอาอยู่หมัดตั้งแต่ครั้งแรก และเธอคือวิลลาแนลล์ตัวจริงที่ Luke Jennings ผู้เขียนหนังสือชุด Villanelle ก็ได้เห็นพ้องตรงกันกับ Phoebe Waller-Bridge โชว์รันเนอร์ของ Killing Eve ซีซั่นแรกส้่ โจดี้เหมาะกับบทของวิลลาแนลล์เป็นอย่างมาก และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอคือวิลลาแนลล์จริงๆ
การแสดงของ Jodie Comer ในซีรีส์เรื่องนี้คือบทพิสูจน์ที่ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเธอคือตัวจริง แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้เข้าเรียนในโรงเรียนการแสดงมาเหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ แต่ความพยายาม ฝึกฝน และการเข้าถึงบทบาทของเธอ ก็ส่งผลให้เธอได้เข้าชิงรางวัลจากหลากหลายเวที ซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้เลยว่าเธอคือตัวจริง ทั้งในบทนี้ และในด้านการแสดง ซึ่งโจดี้เองก็บอกเช่นกันว่าซีรีส์เรื่องนี้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปด้วย เหมือนอย่างที่เธอได้บอกเอาไว้ว่า “Villanelle means the world to me”
Short-Film
The Last Bite (2012)
เด็กเสิร์ฟคนหนึ่ง กับบราวนี่ชิ้นสุดท้ายในร้าน และแขกผู้มาเยือนในสภาพที่อิดโรยเข้ามาในร้านขอกาแฟดื่ม และชายหนุ่มปริศนาในชุดสูท แม้ว่าการแสดงของโจดี้ในเรื่องนี้ก็นับว่าโดดเด่นไม่แพ้กับเรื่องอื่น แม้ว่าเธอจะรับบทเป็นเด็กเสิร์ฟที่อยู่หลังบาร์ แต่ตัวละครนี้ก็มาพร้อมกับรอยยิ้ม ความเป็นมิตร ที่ทำให้หลายๆ คนเห็นแล้วก็ตกหลุมรักกับรอยยิ้มนั้นได้ไม่ยาก ซึ่งตัวนักแสดงร่วมอย่าง David Harewood (ผู้รับบท Green Martian ในซีรีส์ Supergirl) ก็ได้บอกผ่านทวิตเตอร์ของเขาด้วยว่าหนังสั้นเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น
Big Girl (2013)
สำหรับหนังสั้นความยาว 23 นาทีเรื่องนี้ เราได้เห็นถึงความหงุดหงิดของเจมม่า เด็กวัยรุ่นที่แม่กำลังจะแต่งงานใหม่ การหนีความจริงและความน่าอึดอัดภายในบ้าน ทำให้เจมม่าตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปหาเพื่อนเก่า ฮันนาห์ การกลับเข้าไปหาอีกครั้งหนึ่งหลังจากเกิดปัญหาก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่นั่นก็ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปอยู่ข้างใน ทั้งปัญหาเก่าที่เคยกวนใจ กับปัญหาใหม่ที่เข้ามา และการเดินทางของฮันนาห์ที่ต้องเดินทางไปในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยไม่บอกเหตุผล ซึ่งตัวของเจมม่าเองก็ตัดสินใจไปหาฮันนาห์ในเช้าวันนั้น
Movie
Free Guy (2021)
เชื่อว่าคนที่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่เคยรู้จักโจดี้มาก่อนเลย จะต้องเกิดความสงสัยกันบ้างแหละว่า นักแสดงที่รับบท Millie Rusk โปรแกรมเมอร์สาวสุดน่ารัก ที่ทำให้เรายิ้มตาม และละสายตาจากเธอไม่ได้ตลอดทั้งเรื่อง แถมยังเป็นเจ้าของอวตารสุดเก่งแสนเท่ อย่าง Molotov Girl คือใครกัน ด้วยการแสดงของโจดี้ที่ต้องแสดงในบทบาทที่มองภายนอกดูเหมือนต่างกัน ใช้สำเนียงการพูดที่ต่างกัน เพื่อให้ผู้ชมแยกได้ทันทีระหว่างโลกความจริงและโลกเสมือนในฟรีซิตี้ แต่ยังต้องคงไว้ซึ่งจุดร่วมบางอย่าง เช่น อุปนิสัยและพื้นฐานความคิดของ Millie ที่แสดงออกผ่านทาง Molotov girl ซึ่งนี่นับว่าไม่ง่ายเลย ในฐานะภาพยนตร์สเกลใหญ่เรื่องแรกในชีวิตของตัวโจดี้เอง นอกจากนั้นอีกหนึ่งความพิเศษของเรื่องนี้ที่โจดี้ได้ฝากไว้ให้แฟนๆทุกคนคือ เพลง Fantasy ที่เธอร้องไว้ด้วยน้ำเสียงชวนฝันเพื่อใช้ประกอบซีนหนึ่งที่นับว่าสำคัญมากสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
โจดี้พูดถึง Free Guy กับ Collider ไว้ว่า “เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แอคชั่น-คอเมดี้ทุกคนอาจจะคิดว่า ‘ฉันรู้แล้วว่าเรื่องมันจะจบยังไง’ แต่มันมีอะไรแฝงไว้มากกว่านั้น ไม่ใช่ว่าเราจะฝืน บังคับผู้ชมว่า นี่คือข้อคิดที่คุณต้องได้จากการดูนะ ฉันว่าเสน่ห์คือ การที่คุณจะรู้สึกและเชื่อมโยงเรื่องราวเหล่านี้เข้ากับชีวิตคุณเองได้ไม่ยากเลย มาในรูปแบบที่คุณไม่ได้คาดไว้ด้วย… หัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการตระหนักรู้ว่าเรามีคุณค่า ว่าเรามีพละกำลัง และเมื่อเราสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงและสรรค์สร้าง ทำสิ่งที่มหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นมาได้”
สามารถรับชมได้ที่ Disney+ Hotstar
The Last Duel (2021)
บางครั้งผู้ชมอย่างเราๆ จะพบว่า ภาพยนตร์บางเรื่องสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่แฝงด้วยประเด็นที่สะท้อนปัญหาสังคมไว้ได้อย่างดีมาก มากจนกระทั่งว่า เราเองจะไม่สามารถย้อนกลับมาดูเรื่องนั้นได้บ่อยๆ The Last Duel เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยประเด็นที่เกี่ยวกับการข่มขืน (Rape) จนนำไปสู่การพิจารณาคดีที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ที่ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะเซ็ตในช่วงปี 1386 แต่เราก็ยังสามารถพบเจอเหตุการณ์นี้ในบ้านเมืองเราทุกครั้งที่อ่านหรือฟังข่าว
ความท้าทายของผลงานนี้คือ การถ่ายทอดเรื่องราวแบบ Rashomon (1950) ของ Kurosawa ที่บอกเล่าเรื่องราวเดียวกัน ด้วยมุมมองของบุคคลที่ต่างกันไป นี่ทำให้บทสนทนาทั้งสามองก์ตลอดทั้งเรื่องเหมือนกันหมด จะต่างกันก็ตรงที่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น การแสดงออกของตัวละคร สีหน้า แววตา ภาษากาย ที่สามารถทำให้ประโยคเดียวกันนั้นมีใจความที่ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลังจากได้ชม เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า โจดี้ปล่อยของแบบจัดเต็ม ใช้ความสามารถทั้งหมดทุ่มลงไปในบทบาทของ Marguerite de Carrouges ด้วยว่า เธอต้องการจะถ่ายทอดความจริง “The Truth” ที่ผู้หญิงในยุคกลางต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่ควรมีใครต้องเจอ ซ้ำร้ายยังถูกกดทับจากอำนาจปิตาธิปไตย ที่มองแค่ว่า ผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งของที่ถูกครอบครองโดยชายอีก ซึ่งสิ่งที่น่าหดหู่ใจก็คือ แม้เวลาล่วงเลยมาแล้วประมาณ 600 ปี แต่เรายังคงพบเจอเรื่องราวนี้กันอยู่
สามารถรับชมได้ที่ Disney+ Hotstar
Help (2021)
สำหรับ Help นี่เป็นอีกผลงานที่ได้รับการพูดถึงอย่างท่วมท้นตั้งแต่มีการออกฉายครั้งแรกทางทีวี เพราะเป็นเรื่องราวที่บอกเล่าผลกระทบของโควิด-19 ที่เป็นปัจจุบันและสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ การันตีคุณภาพจากการถูกเสนอชื่อเข้าชิง BAFTA TV 2022 ทั้งหมด 6 สาขาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่ว่าจะเป็น Single Drama, Writer: Drama – Jack Thorne, Director: Fiction – Marc Munden, Lead Actor- Stephen Graham, Supporting Actress – Cathay Tyson รวมไปถึงตัวโจดี้เองที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงและคว้ารางวัลในสาขา Lead Actress จากบท Sarah, The Carer ไปด้วย
และหากคุณยังไม่เคยชม เราแนะนำว่าเป็นอีกเรื่องที่คุ้มค่ากับเวลาตลอด 1 .40 ชั่วโมงแน่นอน คุณจะสามารถเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครได้ไม่ยาก เพราะงานนี้มุ่งนำเสนอความจริง จากวิกฤตที่เกิดขึ้นจริง โจดี้เผยว่า “ส่วนตัวฉันเอง ฉันนับถือการใช้เสียงที่มีอยู่เพื่อส่งสารที่สำคัญออกไป ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีบทบาทร่วมตั้งแต่แรกเริ่ม มันมีใจความสำคัญแฝงอยู่ ซึ่งมันอาจจะหดหู่ น่ากลัวและอึดอัด แต่นี่คือการส่งเสียงที่แท้จริง เพื่อแทนเสียงคนที่ไม่สามารถออกมาพูดเรื่องเหล่านั้นได้”
Music
Scarborough Fair
สำหรับเพลง Scarborough Fair เป็นเพลงที่โจดี้ร้องเพื่อใช้ในซีรีส์ Remember Me เมื่อปี 2014 เธอบอกผ่านทวิตเตอร์เมื่อปี 2018 ว่านั่นเป็นเสียงเธอเอง แล้วก็ลืมไปแล้วด้วย เธอคิดว่ามันน่าจะใช้ตอนเครดิตเปิดของซีรีส์เรื่องนี้นะ
Fantasy
เพลง Fantasy เป็นเพลงที่ใช้ประกอบหนัง Free Guy หนังแอคชั่นไซไฟที่เล่าเรื่องราวภายในเกม Free City ซึ่งโจดี้เองก็เป็นคนร้องเพลงนี้ แต่ว่านี่ไม่ใช่เพลงแรกที่ถูกเลือกเอามาร้องด้วยซ้ำ และเมื่อใช้เพลง Fantasy ของ Mariah Carey มาใช้นั้น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแตกต่างจากเวอร์ชั่นของมารายห์ แครี เป็นอย่างมาก แถมโจดี้ก็ยังทำให้เพลงนี้มันดูชวนฝันสุดๆ ไปเลย
Play
Prima Facie (2022)
แม้ว่า Jodie Comer จะเคยแสดงละครเวทีครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปีแล้วก็ตาม มาในวันนี้กับละครเวทีเรื่อง Prima Facie ก็นับได้ว่าเป็นละครเวทีเรื่องแรกที่เธอรับบทนำ และเป็นการแสดงเดี่ยว ที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Tessa Ensler ทนายความสาว และสัมผัสกับสถานการณ์ที่เธอได้เผชิญ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การเป็นทนายความสาวที่ปกป้องผู้ชายที่ไปล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น การต่อสู้คดีและสืบค้านภายในศาล ไปจนถึงสถานการณ์ที่เธอต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง ทำให้เธอต้องต่อสู้กับระบบที่ไม่เอื้อต่อผู้รอดชีวิต อำนาจปิตาธิปไตยภายใต้กฎหมาย ภาระการพิสูจน์ และทางแยกของศีลธรรม
จากเสียงวิจารณ์หลายๆ เสียงที่ได้รับชมละครเวทีเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่พูดเป็นเสียงเดียวกันเกี่ยวกับความสามารถของเธอ และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อ ยิ่งเน้นย้ำประเด็นของการล่วงละเมิดทางเพศ และการใคร่ครวญถึงระบบกฎหมายที่ผู้ชายเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้ผู้หญิงและผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศเกิดความเสียหายอีกด้วย ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าการแสดงแบบ monologue นั้นเป็นรูปแบบที่ยากมากๆ แต่โจดี้ โคเมอร์ เอาอยู่หมัด และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้เรียนในโรงเรียนการแสดงก็ตาม