ห้ามพลาดกับลิสต์ซีรีส์ที่ The Noize Team คัดมาให้กับคุณ บอกได้เลยว่าแต่ละเรื่อง เด็ดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์แนวดราม่า ตลกร้าย คอเมดี้ สืบสวนสอบสวน รอมคอม หรือจะเป็นซีรีส์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ก็ต้องห้ามพลาด เพราะว่า Top List Series ประจำปี 2021 มีหลายเรื่องมากๆ จากผู้เขียนหลากหลายคน ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีซีรีส์เรื่องไหนกันบ้าง
Dickinson
จากปลายปากกาบนหน้ากระดาษ สู่โลกอันฉูดฉาดของ Emily Dickinson ใครที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ อยากออกไปท่องโลกกว้าง เราขอแนะนำ “Dickinson” หนึ่งในซีรีส์เรื่องเยี่ยมแห่งปี ที่จะทำให้คุณได้เปิดประสบการณ์ ร่วมออกเดินทาง และทำความรู้จักกับกวีเอกของโลกคนนี้มากยิ่งขึ้น
Dickinson พาเราหมุนเข็มนาฬิกา ย้อนเวลากลับไปในศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาเดียวกับที่ Emily Dickinson (Hailee Steinfeld) ได้ร้อยเรียงเรื่องราวชีวิต ความรัก และสังคมในยุคสมัยนั้น ผ่านบทกวีนับร้อยพันของเธอ ความพิเศษคือซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอออกมาในแนวคอเมดี้ผสมผสานกับดราม่า ย้อนยุคไปพร้อมกับร่วมสมัย มีเอกลักษณ์และแปลกใหม่ ทั้งยังมีประเด็นมากมายให้ขบคิด ล้อไปกับบทกลอนในแต่ละตอน ที่สำคัญมันยังนำประเด็นอันหนักอึ้งต่างๆ ในสังคมมาถ่ายทอดให้เข้าใจได้ง่ายและตลกร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิของผู้หญิง ความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ชนชั้น และสังคมชายเป็นใหญ่ ถือเป็นเสน่ห์ของ Dickinson ที่ทำให้ผู้ชมทั้งหัวเราะ และร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
เชื่อว่าการเดินทางตลอดกว่า 3 ปี 3 ซีซั่นที่ผ่านมาของ Dickinson ได้ทำให้ผู้ชมรู้จักตัวตนและผลงานของ Emily Dickinson มากขึ้น การได้เห็นบทกลอนทุกตัวอักษรของเธอโลดแล่นและมีชีวิตอยู่บนจอ ยิ่งตอกย้ำว่า แม้ตัวเธอจะจากโลกนี้ไปนานกว่าร้อยปี แต่บทกวี และท่วงทำนอง จะยังคงหายใจและใช้ชีวิตอยู่เป็นนิจนิรันดร์
มาโอบกอดทุกเศษเสี้ยวของกวีเอกคนนี้ใน Dickinson ได้ที่ Apple TV+
Mr. Corman
เมื่อชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เคยวาดฝัน นั่นหมายความว่าชีวิตล้มเหลวรึเปล่า?
ถ้ากำลังมองหาซีรีส์ coming of (middle) age แจ่มๆสักเรื่อง ที่จะพาตกผลึกถึงความหมายของชีวิต เขย่าตัวคนชอบใช้ชีวิตอยู่ในเซฟโซน ยอมเลือกที่จะทิ้งความชอบ ความฝันเพื่อหันมาทำในสิ่งที่มั่นคงในสายตาคนอื่น ผ่านชีวิตธรรมดาๆของ Josh Corman (Joseph Gordon-Levitt) อดีตนักดนตรีที่ผันตัวมาเป็นครูประถม
วิธีการเล่าเรื่องแต่ละตอน มีความแปลก สร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นตัวบท งานภาพ เสียง บางคนอาจรู้สึกว่าแต่ละตอนไม่ต่อเนื่องกัน แต่สำหรับเรา เราว่ามันคือการค่อยๆวางคอร์ด ร่างเนื้อร้อง แต่งทำนอง จนกลายเป็นเพลงสุดพิเศษในตอนท้ายที่จะทำให้คุณฉุกคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตคุณเอง นอกจาก Joseph Gordon-Levitt จะแสดงนำแล้ว เขายังเป็น ผู้สร้าง ผู้กำกับ และเขียนบทเองด้วยในผลงานชิ้นนี้ เป็นทุกอย่างให้ทุกคนแล้วจริงๆ
รับชมได้ที่ Apple TV+
Succession
Succession ซีรีส์ดราม่า ตลกร้าย เสียดสี จิกกัดสังคมสไตล์อเมริกัน ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์ และกวาดรางวัลมากมาย จากค่าย HBO ว่าด้วยเรื่องราวของ โลแกน รอย (Brian Cox) เจ้าของ Waystar Royco บริษัทเครือสื่อและความบันเทิงขนาดใหญ่ เตรียมส่งไม้ต่อให้ลูกชายคนรองอย่าง เคนดัล รอย (Jeremy Strong)
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดเมื่อโลแกนได้เปลี่ยนใจเรื่องการสืบทอดบริษัทของเขา จึงเป็นจุดชนวนของสงคราม การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างคนในครอบครัวกันเอง ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าในซีซั่นสอง เคนดัลได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ และในซีซั่นนี้เขาได้ตั้งตนเป็นแกนนำในการโค่นล้มโลแกนออกจากตำแหน่ง
ความสนุกทั้งหมดทั้งมวลของ Succession เรียกได้ว่ามาจากบทที่ดี ทั้งมีการอิงจากวรรณกรรม รวมถึงตำนานเทพเจ้ากรีก ผ่านการเรียงร้อย ผูกเรื่องออกมาอย่างปราณีต เฉียบแหลม และนำเสนออกมาอย่างชาญฉลาด ในซีซั่นนี้เรื่องราวการฟาดฟัน แก่งแย่งกันทางธุรกิจบนการเดิมพันอันมหาศาลยังคงเข้มข้นเฉกเช่นเคย อีกทั้งยังมีความตลกร้าย ความหลงใหล การแตกสลายของทั้งความสัมพันธ์และจิตใจของตัวละครเอง รวมไปถึงจิกกัดสังคมทุนนิยม ซีรีส์มักจะสอดแทรกประเด็นต่างๆ ผ่านคำพูดเหน็บแนม และการกระทำของตัวละครสีเทาเข้มหลายตัวในเรื่อง องค์ประกอบภาพงดงาม การเล่นกับการซูมเข้า-ออกของกล้องนั้นเป็นเสน่ห์และเสริมความขบขันให้กับซีรีส์ได้อย่างดี ควบคู่ไปกับบทเพลงประกอบอันแสนไพเราะและยิ่งใหญ่
เหนือสิ่งอื่นใดซีรีส์ยังมีการวางฐานตัวละครที่แข็งแกร่ง และเข้าใจมนุษย์ จึงทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีเสน่ห์ในแบบฉบับของ Succession เป็นลักษณะที่เราจะทั้งชอบทั้งเกลียดตัวละครแทบทุกตัว อีกทั้งนำเสนอความสัมพันธ์ของตัวละครในสถานการณ์ต่างๆ ออกมาได้น่าสนใจ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อันแสนประหลาดของครอบครัวรอย การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่สร้างบาดแผลในจิตใจให้กับลูก และพี่น้องที่สร้างบาดแผลให้ซึ่งกันและกันเอง
สามารถรับชมการฟาดฟันบนการเดิมพันอันมหาศาลของตระกูลรอย ทั้ง 3 ซีซั่นได้ที่ HBO GO
Mare of Easttown
Mare of Easttown ลิมิเต็ดซีรีส์ ดราม่า ฆาตกรรม สืบสวน จาก HBO เรื่องราวเกี่ยวกับ แมร์ ชีฮาน (Kate Winslet) ตำรวจหญิงประจำฝ่ายสืบสวนที่ต้องมาทำคดีการฆาตกรรมหญิงสาว และคดีเด็กสาวหายที่หายตัวไป ในเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนรู้จักกันไปหมดอย่างอีสทาวน์
ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวอันน่าติดตามของการสืบสวนคดีที่น่าพิศวงเท่านั้น แต่ยังหนักเน้นไปถึงเรื่องความเศร้าโศก บาดแผลในชีวิต และการปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครในเมือง การดำเนินเรื่องของซีรีส์ไม่ได้เร่งรัด แต่กลับสะกดผู้ชมไว้ได้อย่างอยู่หมัด ลุ้นไปกับการสืบสวนคดี และตะลึงพรึงเพริดไปกับช่วงท้ายในแต่ละตอนด้วยการผูกเรื่องที่ชาญฉลาด ชวนให้ผู้ชมขบคิด ถึงการกระทำต่างๆ ของตัวละคร
แถมตัวซีรีส์ยังมีมุกตลกมาเบรกอารมณ์ได้อย่างกลมกล่อม และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการแสดงอันยอดเยี่ยมของ เคท วินสเล็ต เธอถ่ายทอดอารมณ์ ของตำรวจหญิงวัยกลางคนผู้ทุ่มเทให้กับงาน ผ่านการหย่าร้าง สูญเสียคนในครอบครัว อีกทั้งมีปัญหากับแม่ของตน รวมถึงการเป็นแม่เสียเอง ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนเราลืมภาพของ เคท วินสเล็ต ไปเสียหมดจด นอกจากนี้ยังมีนักแสดงมากฝีมืออีกคับคั่งมาเติมเต็ม Mare of Easttown ให้เป็นซีรีส์ที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง
ร่วมลุ้นเอาใจช่วยในการสืบสวนดคี และชมการแสดงยอดเยี่ยมได้แล้ว ที่ HBO GO
Scenes From a Marriage
Scenes From a Marriage ลิมิเต็ดซีรีส์จาก HBO ที่ดัดแปลงจากซีรีส์สัญชาติสวีเดนของ อิงมาร์ เบิร์กแมน (Ingmar Bergman) ในชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่สามี-ภรรยาอเมริกันชนอย่าง มีร่า (Jessica Chastain) ผู้บริหารด้านเทคโนโลยี ที่ทุ่มเทให้กับงาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและทะเยอะทะยาน และ โจนาธาน (Oscar Isaac) ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาที่ใช้เวลาส่วนใหญ่เขียนหนังสืออยู่บ้านและดูแลลูกสาวของพวกเขา
Scenes From a Marriage ในเวอร์ชั่นนี้ต่างจากเวอร์ชั่นของเบิร์กแมนไปโดยสิ้นเชิง มีภรรยาเป็นดั่งช้างเท้าหน้า และเปลี่ยนจากสามีนอกใจ มาเป็นภรรยาที่นอกใจสามี บทสนทนาที่ยืดยาวบาดลึกกับสภาวะความสัมพันธ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เทคนิการตัดต่อไม่หวือหวา การเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปและมีชั้นเชิง อีกทั้งยังแทรกประเด็นในสังคมต่างๆ เช่น ฉากการถาม pronouns ของตัวละคร หรือประเด็นการทำแท้ง ซีรีส์ค่อยๆ พาเราไปสำรวจรอยร้าวในการแต่งงานของทั้งคู่ ทำให้เราในฐานะคนดูได้สังเกตสีหน้าท่าทางของตัวละครได้อย่างเต็มที่ เหนือสิ่งอื่นใดคือการแสดงอันน่าทึ่งของ เจสสิก้า แชสเทน และ ออสการ์ ไอแซ็ค ที่สวมบทบาทเป็นมีร่าและโจนาธานได้อย่างน่าทึ่ง ทำเอาหัวใจเราแหลกสลายไปกับความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตัวละคร และสะกดคนดูจนแทบละสายตาไปไม่ได้เลย
ไปพบกับเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนสะเทือนจิตใจ และการแสดงอันน่าทึ่งได้แล้วที่ HBO GO
Arcane
หากพูดถึงอนิเมชั่นซีรีส์ในปี 2021 ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและถูกกล่าวขานมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “Arcane” หนึ่งในอนิเมชั่นซีรีส์แนววิทยาศาสตร์ แฟนตาซี (Science Fantasy) ที่หยิบยกเอาโลกแห่งจิตนาการจากเกมส์ League of Legends มารังสรรค์ เนรมิตให้เรื่องราวและเหล่าตัวละครสุดโปรดของใครหลายคน ได้ออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวาบนจอฉาย
Arcane บอกเล่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่าง 2 เมือง อย่าง Piltover เมืองชั้นบนที่เจริญก้าวหน้า รุ่มรวยไปด้วยอำนาจและอิทธิพล และ Zaun เมืองชั้นล่างที่เป็นดั่งหุบเหวขั้วตรงข้าม ซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็นภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ มันถ่ายทอดเรื่องการเมืองและสังคมได้อย่างสนุก เข้มข้น และน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ เสริมด้วยงานภาพที่โดดเด่น สวยงามราวกับภาพวาด ดนตรีประกอบที่ปลุกเร้าอารมณ์ รวมไปถึงความหลากหลายของเหล่าตัวละคร ที่ต่างก็มีเรื่องราวและแรงปรารถนาเป็นของตัวเอง มีมิติทางด้านอารมณ์และความเป็นมนุษย์สูง ยิ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ให้ซีรีส์เรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
หลายคนอาจเข้าใจว่ามันเหมาะสำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่คุ้นเคยกับจักรวาล League of Legends เท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า ต่อให้คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน ก็สามารถดูได้อย่างเข้าใจ สนุก และมีอารมณ์ร่วมในทุกฉากทุกตอน เรียกได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้นั้นพลิกโฉมหน้า ‘อนิเมชั่น’ และยกระดับคุณภาพขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เป็นอีกเรื่องที่ดีที่สุดในปีนี้ ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด
รับชมได้ทาง Netflix
Maid
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน มาพร้อมกับการตระหนักรู้ที่มากขึ้น ทำให้หลายครั้งปัญหาภายในสังคมที่ซุกซ่อนใต้พรมเป็นเวลานาน ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสื่อบันเทิงที่นำปัญหาใกล้ตัวอย่าง ‘การใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว (Domestic Violence)’ มาตีแผ่ให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างชัดแจ้ง คือ “Maid” หนึ่งในซีรีส์ที่ดีที่สุดในปี 2021
สำหรับซีรีส์เรื่องนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของ อเล็กซ์ (Margaret Qualley) หญิงสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อเธอต้องพบเจอกับสัญญาณอันตรายและการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว ทำให้เธอต้องพยายามฟันฝ่า ก้าวพ้นวังวนความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งพิษร้าย (Toxic Relationship) จนชีวิตพลิกผัน กลายไปเป็น ‘เมด’ รับจ้างทำความสะอาด หาเลี้ยงตัวเองและลูกสาวตัวน้อย
แม้ว่าซีรีส์จะหยิบยกประเด็นที่ละเอียดอ่อน เข้มข้น และหนักหน่วงมาตีแผ่บนจอฉาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวปัญหาสังคม การใช้ความรุนแรง และการข่มเหงรังแกที่เกิดขึ้นในครอบครัว รวมไปถึงกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อเหยื่อ แต่วิธีการนำเสนอและบรรยากาศของมันกลับทำให้รู้สึกสงบ อุ่นใจ และเรียกรอยยิ้มได้ท่ามกลางความโหดร้ายทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์ของ Maid ที่สามารถถ่ายทอดประเด็นอันหนักอึ้ง ให้เข้าถึงได้ง่าย ดูสนุก และทำให้ลุ้นเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมกัน ซึ่งแน่นอนว่าบางครั้ง ‘การตระหนักรู้’ ในเรื่องที่ซับซ้อนและอ่อนไหว ก็ทำงานได้ดี เมื่อมันถูกย่อยให้ดูง่าย มีอารมณ์ร่วมได้ และแทรกซึมเข้าไปในใจของผู้คน
รับชมได้ทาง Netflix
Hospital Playlist
Hospital Playlist 2 ผลงานซีรีส์น้ำดีของผู้กำกับ ชิน วอนโฮ และมือเขียนบทคู่บุญอย่าง อี อูจอง ทั้งคู่เคยฝากผลงานที่น่าประทับใจอย่างซีรีส์ชุด Reply และ Prison Playbook ซึ่งซีรีส์เรื่อง Hospital Playlist ดำเนินเรื่องแบบ Slice of life ผ่านมิตรภาพอันสวยงามของกลุ่มอาจารย์แพทย์ห้าคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมา 20 ปี ประกอบด้วย
- ซงฮวา (Jeon Mi-Do) ประสาทศัลยแพทย์หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มผู้ทุ่มเทให้กับการทำงานและการกิน
- อิกจุน (Cho Jung-Seok) ศัลยแพทย์ทั่วไปผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดตับ เขาเป็นเสียงหัวเราะของกลุ่มเสมอ อิกจุนเคยแต่งงานและมีลูกชาย 1 คนแต่ก็ได้เลิกรากับภรรยาไป และเขาก็กลายมาเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว
- จองวอน (Yoo Yeon-Seok) กุมารศัลยแพทย์ใจดีที่ไม่เคยสนใจเรื่องความรัก เป้าหมายชีวิตคือการลาออกไปเป็นบาทหลวง อิกจุนเคยกล่าวว่า “ถ้าจะเอาชนะใจจองวอน ก็ต้องชนะพระเจ้าให้ได้ก่อน”
- จุนวาน (Jung Kyoung-Ho) ศัลยแพทย์ทรวงอก เป็นคนปากร้าย จริงจังกับการทำงาน ในซีซั่นสองเขาต้องพบเจอกับปัญหา long distance relationship
- ซอกฮยอง (Kim Dae-Myung) สูตินรีแพทย์ฉายาเจ้าหมีหนุ่มอินโทรเวิร์ตแสนอ่อนโยน อีกทั้งเขาเป็นคนเสนอให้ทุกคนกลับมาซ้อมวงดนตรีอีกครั้ง
ซึ่งในตอนจบซีรีส์ทุกตอนเราจะได้ฟังเพลงที่เนื้อหาเข้ากับตอนนั้นๆ กันแบบสดๆ นักแสดงนำทุกคนต้องเรียนดนตรีใหม่ เพื่อแสดงซีรีส์เรื่องนี้ ตัวละครทุกตัวมีมิติน่าติดตามทั้งในแง่ของความรัก ครอบครัว ชีวิตการทำงานในโรงพยาบาล และที่สำคัญซีรีส์ Hospital Playlist ทำให้ชาวเกาหลีใต้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคอวัยวะ มีผู้ลงทะเบียนบริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่าในช่วงที่ซีรีส์ฉาย นับได้ว่าเป็นซีรีส์คืนความสุขแห่งปีอย่างแท้จริง
สามารถรับชม Hospital Playlist ทั้งสองซีซั่นได้ที่ Netflix
HANNA
ถ้าหากคุณเคยรับชมภาพยนตร์เรื่อง Hanna ที่ Saoirse Ronan รับบทนำ ก็ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็คือหนังเรื่องนั้น แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่มากกว่า ลึกว่า และเนื้อเรื่องเข้มข้นกว่าที่คุณคิด และแน่นอนว่าติดหนึบเสียจนไม่อยากจะหยุดดูเลย
ซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดย Esmé Creed-Miles ที่แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ผลงานเรื่องแรกของเธอ แต่ก็เป็นผลงานการรับบทนำเรื่องแรกๆ ที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักจากบทเด็กสาวที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ และถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าเพื่อปกป้องตัวเองจากกลุ่มคนที่ไม่หวังดี
ในซีซั่นสาม เราจะได้เห็นเลยว่าการกลับเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่เธอเคยจากมาตั้งแต่ยังเด็ก ได้ใช้ชีวิตรวมกับเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในโปรแกรม และหลักจากถูกส่งไปทำภารกิจ ซึ่งตัวของฮานนาเองก็พยายามทำลายล้างกลุ่มองค์กรที่ไปกวาดต้อนเด็กผู้หญิงมาทำหน้าที่นักฆ่าเพื่อให้ไปจัดการกับกลุ่มคนที่ต่อต้านกับกลุ่มการเมืองหลักหรือผู้มีอำนาจ แน่นอนว่าประเด็นความร้อนแรงทางการเมืองและกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น เรียกว่าไม่กินเส้นกันมากๆ ทำให้เรื่องราวในซีซั่นที่สามเป็นเรื่องราวที่เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
คุณสามารถรับชม Hanna ได้ทาง Prime Video
Modern Love
จากผลงานเรื่อง Once, Begin Again, Sing Street ผู้กำกับ John Carney ผู้กำกับชาวไอริชก็มาพร้อมกับซีรีส์รอมคอมอย่างเรื่อง Modern Love ที่เข้าชิงรางวัลหลากหลายสาขา ก็ต้องบอกว่าในซีซั่นสองก็กลับมาพร้อมกับเรื่องราวใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่ได้อยู่แค่ในพื้นที่นิวยอร์กอย่างในซีซั่นแรกเท่านั้น คราวนี้พวกเขาพาไปเยือนยังสถานที่ต่างๆ และความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของความรักครั้งเก่าที่สูญเสียไปแต่กับความรักครั้งใหม่ก็ยังคงซัพพอร์ตอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน หรือจะเป็นการปรับตัวต่อความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่พร้อมกับความเข้าใจต่อกัน การค้นหาตัวเอง ไปจนถึงการทำความเข้าใจและความรักต่อกัน ซึ่งเรื่องราวของซีซั่นนี้ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ และทำให้เรารับรู้ได้ว่า แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ ก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องดีๆ ที่เราสามารถมองหาได้จากคนใกล้ตัว มันทำให้เราเห็นถึงความรักในหลากหลายรูปแบบ และทำให้หัวใจรู้สึกอุ่นได้ทุกครั้งที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้
สามารถรับชมได้ทาง Prime Video
Motherland: Fort Salem
สำหรับ Motherland: Fort Salem ก็ถือเป็นซีรีส์ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใน The Noize Magazine แห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ในซีซั่นสองก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เข้มข้นและต่อเนื่องยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นฝั่งกองทัพ ฝั่งสปรี หรือแม้กระทั่งศัตรูตัวฉกาจในอดีตที่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้องบอกเลยว่าประเด็นต่างๆ แน่นยิ่งกว่าเดิม และห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
สำหรับซีรีส์ Motherland: Fort Salem นั้น ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการนำเสนอความเป็นเฟมินิสต์ออกมาผ่านตัวละครผู้หญิงในเรื่อง การนำเสนอความสัมพันธ์ของตัวละคร LGBTQIAN+ ที่ไม่ได้มีความแปลกหรือแตกต่าง เพราะว่าในโลกของซีรีส์ไม่ได้มี Heteronormativity เป็นตัวคอยชี้นำเหมือนกับในโลกปัจจุบันของเรา ตัวละครที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ซึ่งเราจะได้เห็นในซีซั่นที่สองเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม รวมไปถึงการทำงานที่ร่วมมือกันระหว่างแม่มดที่เป็นศัตรูกันเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์แม่มดไม่ให้ถูกทำลายไป โดยในซีซั่นนี้เราจะเห็นความเปราะบางของเหล่าผู้ชายที่พยายามล่าแม่มด หรือที่รู้จักกันในชื่อของคามาริลลา พวกเขามองว่าแม่มดเป็นตัวอันตราย แต่แท้จริงแล้ว คามาริลลานั่นแหละที่เป็นภัยร้ายที่คุกคามคนอื่น
สามารถรับชมทั้งสองซีซั่นได้ทาง Disney+ Hotstar
Vigil
หากคุณหลงใหลการสืบคดีฆาตกรรมในที่ปิดตายแล้วล่ะก็ Vigil จะพาคุณไปไกลกว่านั้น เพราะนี่ไม่ใช่สถานที่ปิดตายธรรมดา หากเป็นพื้นที่จำกัดที่ดำดิ่งอยู่ใต้น่านน้ำระบุตำแหน่งไม่ได้ HMS Vigil เรือดำที่บรรทุกขีปนาวุธนิวเคลียร์ของสหราชอาณาจักร แต่ต้องบอกก่อนว่า การสืบคดีในที่ปิดตายไม่ใช่เรื่องเดียวที่น่าจับตา เพราะผู้ชมจะได้สำรวจผลของการปิดใจจากเหตุการณ์ในอดีต ความกลัวจนไม่ยอมก้าวผ่าน จนกระทบถึงความรัก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างผ่านชีวิตตัวละคร
เมื่อ DCI Amy Silva (Suranne Jones) ตำรวจนักสืบมือดีได้รับมอบหมายให้ยืนยันการเสียชีวิตของนาวิกโยธินนายหนึ่ง Craig Burke บนเรือดำน้ำ HMS Vigil ภารกิจของเธอคือการไปยังเรือลำนั้นเพื่อสืบสวนและรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะรายงานกลับมาที่สถานีภายใน 3 วัน ซึ่งในระหว่างนั้นจะไม่สามารถติดต่อคนบนฝั่งได้อย่างอิสระ ข้อมูลและเอกสารทุกฉบับจะต้องผ่านหน่วยข่าวกรองบนเรือเท่านั้น เธอจึงจำเป็นต้องหาคนที่เธอไว้ใจได้เพื่อช่วยประสานงานจากบนฝั่ง เธอจึงติดต่อไปยัง DS Kirsten Longacre (Rose Leslie) เจ้าหน้าที่รุ่นน้องคนสนิท
แต่เมื่อถึงที่เกิดเหตุเธอพบว่า นี่ไม่ใช่การตายธรรมดาแต่หากมีใครบางคนวางแผนฆาตกรรมครั้งนี้เพื่อซ่อนและปกปิดความลับบางอย่างที่สามารถกระทบถึงความปลอดภัยและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ตอนนี้เธอได้ถูกขังไว้ในสถานที่ปิดตายท่ามกลางผู้คนที่ไม่คุ้นเคย และฆาตกรยังคงลอยนวลอยู่
Delete Me
Trigger Warnings: contains sexual depictions & coarse language
Delete me (2021) เป็นซีรีส์วัยรุ่นสัญชาตินอร์เวย์ที่ฉายทาง Viaplay โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ถูกบอกเล่าผ่านทางตัวละคร Marion (Amalia Holm) และ Marit (Thea Sofie Loch Næss) สองเพื่อนรักที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่แล้ววันหนึ่ง กลับมีคลิปหลุดของใครคนหนึ่งว่อนไปทั่วอินเทอร์เน็ต เรื่องเล่นสนุกที่พวกเขาทำในงานปาร์ตี้ กลับทำให้ชีวิตของพวกเขานั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ซีรีส์ถ่ายทอดทุกความอึดอัดและความฉิบหายของชีวิตวัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งที่คงไม่สามารถจะอยู่ในจุดที่แย่ไปกว่านี้ได้แล้ว ซ้ำยังเสียดสีสังคมวัยรุ่นไฮสคูลที่ตัดสินทุกอย่างจากเหรียญด้านเดียว และมุ่งเป้าไปที่ “ผู้หญิง” เท่านั้น แทบไม่มีใครตั้งคำถามกับฝั่งผู้ชาย และหนึ่งชีวิตที่พังไปก็มักจะเป็นฝ่ายหญิง ซึ่งในจุดนี้เราว่าน่าจะเป็นกันทั้งโลก – นอกจากนี้ยังนำเสนอสภาพแวดล้อมและกฏเกณฑ์บางอย่างที่ไม่ได้เอื้อต่อตัวผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหยื่อ เฉกเช่นตัว Marion ที่ยิ่งเราดูเราก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างมันมืดแปดด้านไปหมดจริงๆ
เราเข้ามาดูเรื่องนี้เพราะอยากตามมาดูผลงานของ Amalia Holm ที่กำลังเป็นที่รู้จักจากบท Scylla Ramshorn แห่ง Motherland: Fort Salem นั่นเอง ต้องเกริ่นก่อนว่าถึงแม้เจ้าตัวจะยังไม่ได้มีผลงานในทางฝั่ง North America มากนัก แต่ Amalia กลับกำลังโลดแล่นอยู่ในวงการการแสดงของฝั่งสแกนดิเนเวียแบบที่เรียกได้ว่าเราสามารถเห็นหน้าสวยๆ ของเเจ้าตัวในจอได้เรื่อยๆ และ Delete Me เองก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ใหญ่ของปี 2021 อีกด้วย
กลับมาที่ตัวซีรีส์กันบ้าง หากคุณคิดว่าการแสดงของ Amalia ใน Motherland: Fort Salem นั้นโดดเด่นแล้ว เราการันตีได้เลยว่า คุณจะได้รับชมการแสดงที่เหนือไปอีกขั้นของเจ้าตัวใน Delete Me แบบโคตรสะใจ – Amalia ถ่ายทอดบทบาทของ Marion ออกมาได้ดิบและมีเสน่ห์มาก จนคนดูอย่างเราต้องขอเวลาพักหายใจจากการดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง – อีกคนหนึ่งที่การแสดงดึงดูดเราไม่แพ้กันคือ Happy Jankell รับบท Fanny แฮกเกอร์สาวที่พยายามจะช่วยเหลือ Marion ให้หลุดออกมาจากความดำมืดของชีวิตตัวเองให้ได้ ตัวละครนี้น่าสนใจมากๆ สำหรับเรา แต่จะมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร เราขออุบไว้ให้คุณผู้อ่านไปดูเองดีกว่า
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบในตัวซีรีส์เรื่องนี้คือวิธีการเล่าเรื่อง โดย Delete Me เลือกเล่าเรื่องทุกอย่างจากตอนจบ แน่นอนว่าช่วงแรกที่ดูอาจจะมีมึนงงไปบ้างนิดหน่อย แต่เสน่ห์ของการเล่าเรื่องแบบนี้คือการที่ดึงดูดให้คนดูนั้นต้องดูต่อไปเรื่อยๆ เพราะต้องการรู้จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ซึ่งได้ผลกับเรานะ
โดยรวมแล้ว Delete Me อาจจะเป็นซีรีส์วัยรุ่นทั่วไปสำหรับใครหลายคน แต่เราชอบประเด็นที่เขาหยิบยกมานำเสนอหลายอย่าง ซึ่งว่ากันตามตรง ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงวนเวียนอยุช่ในสังคมเราไม่จบไม่สิ้นเสียที – ถ้าใครดูแล้วตกตะกอนความคิดอะไรใหม่ๆ ได้ มาบอกเล่าให้เราฟังได้เสมอ 🙂
สำหรับใครที่กำลังมองซีรีส์สนุกๆ ที่ได้รับการคอนเฟิร์มจากหลายๆ คน ก็ต้องห้ามพลาดเลยล่ะ บอกได้เลยว่าแต่ละเรื่องที่คัดมา ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน นอกจากนี้แล้วก็ยังมีซีรีส์อีกหลายเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นี้ แต่ก็สนุกไม่แพ้กันเลยล่ะ ใครดูเรื่องไหนแล้วชอบ อย่าลืมมาบอกกันบ้างนะ