สำหรับชาว Dickinson หลายคนก็คงจะรู้จักกับ Ella Hunt ผู้รับบท Sue Gilbert-Dickinson อย่างแน่นอน แม้ว่าใครๆ ก็อาจจะสงสัยว่าเธอเป็นเควียร์รึเปล่า ที่มารับเล่นซีรีส์เควียร์อย่าง Dickinson หรือประวัติของเธอเป็นยังไง เป็นชาวอเมริกันหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าห้ามพลาด เพราะว่าวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เอลล่า ฮันท์ กัน
Ella Hunt สาวคันทรีเกิร์ล
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าสาวเอลล่าเป็นคนอังกฤษโดยกำเนิด เธอให้สัมภาษณ์กับ Coveteur ว่าเธอเป็นสาวคลาสสิกคันทรีเกิร์ลเลย “ฉันเติบโตมาในฟาร์มที่ North Devon ทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ”
เธอยังบอกกับ Rose and Ivy Journal ด้วยว่า “ฉันเติบโตมาในชนบทที่ North Devon ห่างไกลจากตัวเมืองจริงๆ ถึง 40 นาที ที่นี่มีประชากรแกะมากกว่ามนุษย์ เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่ชายหรือฉันเบื่อ พ่อแม่ก็มักจะแนะนำให้พวกเราทำงานศิลปะ ทำการแสดง หรือแต่งเพลง มันเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดูของฉันเลยนะ มันเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะจำความได้ ฉันรู้ว่านั่นคืองานศิลปะ ฉันกำลังสร้างสรรค์งานศิลป์ และนี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ”
“ฉันจำได้ว่าตอนอายุ 9 ขวบ ได้คุยกับแก๊งสาวๆ จากคณะขับร้องประสานเสียงที่ฉันอยู่ เรากำลังคุยกันถึงสิ่งที่อยากทำตอนโตขึ้น ฉันบอกว่าฉันอยากที่จะเป็นนักร้อง แล้วฉันก็ถามคนอื่นๆ ว่าเขาอยากทำอะไร พวกเขาบอกว่า ‘บางทีฉันอาจจะเป็นสัตวแพทย์หรือพยาบาลนี่แหละ’ แล้วฉันก็บอกเพวกเขาว่า ‘แต่เธอมีเสียงที่ไพเราะนะ ทำไมถึงไม่อยากเป็นนักร้องล่ะ?’ เขาก็บอกว่า ‘เอลล่า เธอทำได้ แต่ฉันทำไม่ได้นะ'”
เธอยังบอกด้วยว่าเธอตระหนักดีถึงความพริวิเลจของเธอเอง “ฉันรู้สึกโชคดีอย่างมากที่พ่อแม่ปลูกฝังอะไรหลายๆ อย่างไว้ในตัวฉันตั้งแต่อายุยังน้อยจนสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้” เธอยังบอกอีกด้วยว่าครอบครัวของเธอมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง ที่ไม่ได้ลำบากอะไรเท่าไหร่ “ทั้งพ่อและแม่ทำงานหนักมาก ฉันและพี่น้องของฉันได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่เขาจะสอนฉันในทุกสิ่งที่เป็นไปได้ ฉันคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของโรงเรียน เช่นเดียวกับหน้าที่ของผู้ปกครองนั่นแหละ ที่จะสอนลูกของพวกเขาว่าสามารถทำงานได้ทุกอย่างที่ต้องการ” เธอยังบอกอีกด้วยว่าเธอโชคดีมากๆ ที่เกิดมาในครอบครัวนี้ พี่ชายของฉันมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ เขานอนไม่หลับเลยในตอนกลางคืน จนสุดท้าย พ่อแม่ของฉันตัดสินใจว่าจะจัดห้องให้เขาในห้องใต้หลังคา ครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ห้องนอน อีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทาสี และเทปต่างๆ เพื่อให้เขาฟังก่อนนอน นั่นช่วยให้พ่อกับแม่นอนหลับในตอนกลางคืน”
จุดเริ่มต้นของการแสดง
ที่ North Devon นั่นคือสถานที่แรกที่ทำให้เธอค้นพบว่าเธอรักการแสดง “แม่ของฉันเคยเป็นนักแสดงมาก่อน ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารค่ำกับแม่ตอนยังเป็นเด็ก ตอนนั้นคุยกันเกี่ยวกับเชคสเปียร์ แล้วแม่ก็สามารถท่องบทโมโนล็อกของ Viola ได้ ความรักในการแสดงของฉันเริ่มต้นจากตอนนั้นเลย ฉันเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับละครเพลงและดนตรีโดยทั่วไป ฉันเคยร้องเพลงและแสดงให้ครอบครัวของฉันดูด้วย แล้วฉันก็เลือกสวมกระโปรงสั้นของนักบัลเล่ต์สีชมพูวิ่งไปทั่วบ้าน”
ในวัย 11 ปี เธอเข้าร่วมการแสดงละครเวทีของโรงเรียนในเรื่อง The Mikado ละครมิวซิเคิลของ Gilbert & Sullivan และนั่นทำให้เธอได้พบกับเอเจนท์ของเธอคนแรก (และคนปัจจุบัน) โดยบังเอิญ เธอบอกไว้ว่า “ฉันเล่นเป็น”อันที่จริงฉันหวังว่าจะได้เป็นหนึ่งในสามสาวใช้ตัวน้อย แต่ฉันดันได้รับบท Katisha ภรรยาขี้ขลาด ตัวอ้วน และดูสิ้นหวังสุดๆ” ซึ่งเธอเองก็ยังต้องสวมชุดตัวอ้วนใหญ่ แล้วก็วิกผมแบบญี่ปุ่นกับชุดกิโมโน “เอเจนท์ของฉันอยู่ด้วยวันนั้น เขาอยู่ในกลุ่มผู้ชมเพราะลูกชายของเขาก็เล่นละครเวทีกับฉันด้วยเหมือนกัน และนั่นคือครั้งแรกที่ถูกแมวมอง”
สำหรับการออดิชั่นในช่วงแรกๆ ของเธอนั้น เอลล่าบอกกับ ContentMode ว่ามันยุ่งยากในบางครั้ง เพราะเธออาศัยอยู่ในชนบทที่ห่างจากตัวเมือง “ทุกครั้งที่มีการออดิชั่น นั่นหมายความว่าเราต้องเดินทางไปลอนดอนแบบไปเช้าเย็นกลับ เพราะตรงนั้นมันคือสถานที่ที่อุตสาหกรรมนี้ตั้งอยู่ แต่ครอบครัวของฉัน โดยเฉพาะแม่ ก็สนับสนุนเอามากๆ แม้ว่ามันจะหมายถึงการย้ายโรงเรียนไปเรื่อยๆ และรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกๆ ในช่วงวัยรุ่นของฉัน แต่ฉันก็ไม่เปลี่ยนแปลงมันหรอกนะ” เธอยังบอกกอีกด้วยว่า “ฉันรักการเล่าเรื่องราว สำหรับฉัน การแสดงและดนตรีเป็นการเล่าเรื่องต่างๆ และฉันคิดว่ามันสนุกมากๆ ที่จะสลับไปมาระหว่างสองอย่างนี้ ฉันไม่สามารถเลือกแค่อันเดียวได้แน่นอน”
Ella Hunt and Queerness
“ฉันรักคำว่าเควียร์ (Queer)” เอลล่าบอกกับ square mile “ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ (sexuality) แค่อย่างเดียว ฉันมองว่ามันเป็นแนวความคิดและรู้สึกว่าได้รับพลังจากความแปลกประหลาดไปจากปกติและด้านที่แตกต่างออกไปจากตัวเอง ฉันคิดว่า ‘Queer’ เป็นคำที่สวยงามในแง่นั้น มันเป็นทัศนคติ และนั่นเป็นวิธีที่ฉันนิยามตัวเองให้เพื่อนของฉันในนิวยอร์กได้รู้”
เอลล่าย้ายไปนิวยอร์กหลังจากที่รู้ว่าตัวเองได้บทซูในซีรีส์ Dickinson “ดิกคินสันทำให้ฉันย้ายไปนิวยอร์ก และถ่ายทำซีรีส์เควียร์ที่มีตัวละครหญิงเป็นตัวนำ เพื่อนำความภาคภูมิใจและนำด้านที่ฉันรักที่สุดของตัวเอง และทำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวเองที่สุดกับสิ่งที่ฉันเป็นในวัยเด็ก” เธอบอกกับ square mile “บางทีจุดร่วมกันของการอยู่ห่างจากอังกฤษ และการเป็นส่วนหนึ่งในกองถ่ายนักกวีหญิงที่ไม่ได้เข้าใจในช่วงเวลาของเธอ การแสดงที่ภายนอกเป็นซีรีส์เควียร์ ที่ยกย่องความเควียร์ มันทำให้ไม่น่ากลัวที่จะเพลิดเพลินไปกับองค์ประกอบต่างๆ เหล่านั้นในตัวเอง และสำรวจมันในวิธีที่ฉันไม่อาจทำได้ ถ้าฉันไม่ได้บทนี้”
ผลงานของ Ella Hunt
Anna and the Apocalypse
ผลงานเรื่องแรกของเอลล่า ฮันท์ ที่ได้รับบทนำก็คือเรื่อง Anna and the Apocalypse หนังมิวซิเคิลที่เป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่พยายามออกจากเมืองเล็กๆ ในสก็อตแลนด์หลังจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นจนทำให้คนในเมืองกลายเป็นซอมบี้
เอลล่าบอกว่าในเรื่องนี้ก็จะได้พบกับตัวละครที่มีความคิดแบบซ้ำๆ ว่าพวกเขาอยากที่จะออกจากเมืองเล็กๆ ของพวกเขา เมืองสก็อตมันโคตรจะสกปรกเลย
“เมืองสก็อตมันสกปรกมากๆ ไม่เหมือนในภาพยนตร์แนวไฮสกูลของอเมริกา ที่จะเป็นย่านที่มั่งคั่งน่าอยู่ ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับคุณหรอก แต่ในเรื่องนี้ มันเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สกปรกสุด ฉันอ่านบทและแอนนาเป็นตัวละครนำที่มีเสน่ห์มากๆ เธอไม่เหมือนตัวเอกเรื่องอื่นๆ ที่ฉันเคยอ่านมาก่อนหน้านี้เลย เธอเป็นคนที่รอบรู้และไม่ใช่แค่ฮีโร่ เธอยังมีความไม่แน่ใจพอๆ กับที่เธอฉลาด เธอทั้งอ่อนแอและหวาดกลัวพอๆ กับความกล้าหาญของเธอ ฉันว่าตัวละครของเธอเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมากๆ”
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ Ella Hunt ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง BAFTA Scotland Award ในปี 2018 สาขา Best Actress – Film อีกด้วย เธอบอกว่านั่นทำให้เธอตกใจมากๆ เพราะว่าตอนนั้นเธอมีประสบการณ์เพียงน้อยนิด และเธอถ่ายทำ Anna and the Apocalypse ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งในปีนั้นเธอถ่ายหนังสองเรื่องติดกัน ทั้ง The More You Ignore Me และ Anna and the Apocalypse เธอบอกด้วยว่าทั้งสองสองเรื่องนี้เป็นหนังที่เธอแสดงนำเรื่องแรกๆ และถ่ายในช่วง 5 เดือนใน North England และที่ Scotland
“Anna and the Apocalypse มันเป็นหนังที่กลุ่มนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ได้รวมตัวกันสร้างหนังเพื่อระลึกถึงเพื่อนของพวกเขาที่เป็นคนจุดประกายแนวคิดของหนังเรื่องนี้และได้จากไปแล้ว” เธอบอกกับ Rose and Ivy Journal “ฉันเคยอยู่ในกองถ่ายที่ค่อนข้างเหนื่อย และตัดสินใจงานอาร์ตและภาพยนตร์จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แล้วคุณก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้กำกับของคุณได้นะ มันต้องมีลำดับขั้นแล้วก็มีสถานะทางอำนาจอีกด้วย แต่สำหรับ Anna and the Apocalypse มันเป็นสภาพแวดล้อมของการร่วมมือกันอย่างมาก พวกเราต่างสนิทสนมกันสุดๆ ฉันคิดว่านั่นคือช่วงเวลาที่ฉันตกหลุมรักการแสดงอย่างจริงจัง เพราะฉันรู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์”
Dickinson
หลังจากผลงานเรื่อง Anna and the Apocalypse เอลล่าก็มีผลงานตามมาอีกหลายเรื่องด้วยกัน แต่สำหรับผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นก็คงจะหนีไม่พ้นกับซีรีส์เรื่อง Dickinson นั่นเอง เธอบอกว่า “Anna and the Apocalypse คือเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ฉันได้บทใน Dickinson มันเป็นหนังสก็อตอินดี้เล็กๆ ที่ค่ายหนังในอเมริกาซื้อไป มีโปรดิวเซอร์จำนวนมากได้ดูหนังเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ Michael Sugar หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของ Dickinson ตอนที่เราโทรคุยกัน เขาถามฉันว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันอยากทำในสายอาชีพนี้ และ Dickinson ก็ลอยมาเลย”
จากบทสัมภาษณ์ของเธอกับ square mile เอลล่าก็บอกว่า “(ซีรีส์) Dickinson เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยสำหรับฉันเลย” เธอหลงใหลในเรื่องราวของ Dickinson และตัวละครของเธออย่างมาก ไม่ต่างกับซู ตัวละครที่เธอรับบท ที่เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า ได้รับการปลูกฝังและเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมนั้นๆ
“ฉันถ่ายคลิปออดิชั่นสำหรับ Dickinson ด้วยตัวของฉันเอง แล้วฉันก็เข้ามามีส่วนร่วมในซีรีส์ชุดนี้ หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ฉันก็บินไปนิวยอร์ก โดยที่ฉันไม่เคยไปมาก่อนเลย มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่มากๆ”
ถึงแม้ว่าการถ่ายทำซีรีส์หรือภาพยนตร์ต่างๆ จะเป็นสิ่งที่เธอต้องการทำอย่างแท้จริง แต่เธอเองก็ยังคงเสียใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย “ฉันเป็นพวกเนิร์ดหน่อยๆ แล้วก็อยากที่จะพบช่วงเวลาดีๆ ในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย แต่ว่ากับ Dickinson มันเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดมากๆ เหมือนกับว่าฉันต้องเข้าเรียนเพื่อให้ได้ระดับสักระดับหนึ่งในวิชา Emily Dickinson และโลกรอบๆ ตัวเธอ มันเป็นคลาสเรียนประวัติศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษ และสังคมวิทยา รวมอยู่ในคลาสเดียวกัน”
“ซีรีส์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับฉันเลย” เอลล่าบอกกับ Advocate “มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่ทำให้ฉันได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นใคร และรู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเองเวอร์ชั่นต่างๆ และได้รับการสนับสนุนการเดินทางเหล่านั้น และได้รับอนุญาตให้รู้สึกเป็นการเดินทาง และฉันไม่จะเป็นที่จะต้องได้คำตอบทั้งหมด” เธอยังบอกอีกว่า “ฉันมีความรู้สึกร่วมกับตัวละครของฉัน ซู เพราะเธอตั้งคำถามที่คล้ายกันกับตัวเอง เธอเก็บกดบางส่วนของตัวเองไว้ ในซีซั่นนี้ ฉันรู้สึกดีที่ได้อยู่ในที่ที่เป็นตัวเองมากๆ ฉันได้อยู่ในที่ที่สามารถเบ่งบานได้เต็มที่ และรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และฉันยังคงพยายามเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นต่างๆ ฉันกำลังค้นหามันอยู่ ฉันยังอยู่ในการเดินทางนั้นอยู่”
ครั้งแรกที่เอลล่าได้อ่านสคริปต์ของ Dickinson เธอบอกว่าเธอตื่นเต้นมากๆ “ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นซีรีส์ที่ Alena Smith จินตนาการถึง ได้เห็นซีรีส์เกี่ยวกับอัจฉริยะหญิง ที่มีความข้องเกี่ยวอย่างมากในทุกวันนี้ และได้สำรวจเรื่องราวต่างๆ ในแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้สำรวจมาก่อน นั่นมันทำให้ฉันตื่นเต้นมากๆ ฉันออกจะเนิร์ดๆ เพราะงั้นมันก็เลยดึงดูดความเนิร์ดในตัวของฉันจริงๆ ฉันต้องรีเสิร์ชเยอะมากเพื่อเจาะลึกถึงเอมิลี่ (ดิกคินสัน)”
เอลล่ายังบอกอีกด้วยว่าเธอรัก Alena Smith ที่เขียนตัวละครเหล่านั้นออกมา “มันทำให้ฉันรู้สึกมีพลังอย่างมากในการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ฉันได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้หญิงมามาก โดยเฉพาะในซีซั่นที่สอง ฉันศีกษาเกี่ยวกับ salonnières พวกเขาเป็นเจ้าของหญิงของร้านซาลอนตลอดช่วงเวลานั้น และบทบาททางสังคมของพวกเขาที่เกี่ยวกับการปลดปล่อยสตรี ก่อนที่จะมีการพูดคุยอย่างเปิดเผย วิธีที่จะทำให้กลุ่มประชากรหญิงมีอำนาจทางการเมือง หรือการกระตุ้นทางสังคมหรือปัญญาที่แท้จริง นั่นคือการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ฟุ่มเฟือย ที่ที่พวกเขาสามารถเชิญใครมาก็ได้ และควบคุมบทสนทนาต่างๆ พวกเขาสามารถกำหนดทุกอย่างในชีวิตที่พวกเขาไม่สามารถทำได้”
สำหรับการรับบท Sue Gilbert-Dickinson เอลล่าทำการบ้านอย่างหนัก หนึ่งในนั้นก็คือการท่องบทกวีของ Dickinson และบทกวีที่เธอชอบในตอนนี้ก็คือ ‘I am afraid to own a body (ฉันกลัวที่จะเป็นเจ้าของร่างกาย)’ (และบทกวีนี้ก็มาเป็นชื่อตอนของ Dickinson season 1 episode 5 ด้วย) ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความกดดันทางสังคมที่ผู้หญิงจะต้องเผชิญเกี่ยวกับเรือนร่างของตัวเอง
I am afraid to own a Body—
Emily Dickinson
I am afraid to own a Soul—
Profound—precarious Property—
Possession, not optional—
Double Estate—entailed at pleasure
Upon an unsuspecting Heir—
Duke in a moment of Deathlessness
And God, for a Frontier.
“จากการบันทึกรวบรวมต่างๆ (เกี่ยวกับ Emily Dickinson) ซูเป็นคนเดียวที่เข้าใจในตัวของเอมิลี่และรักผลงานของเธอ แล้วก็ทุ่มเทกับมันอย่างมาก รวมถึงพูดคุยอย่างเปิดเผยกับเอมิลี่อีกด้วย ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องพิเศษที่มีคนไม่กี่คนที่เข้าใจเธอ ณ ช่วงเวลานั้น สิ่งที่ซูทำนั้นต้องหมายความว่าซูเป็นผู้หญิงที่น่าเหลือเชื่อมากๆ”
Ella Hunt และดนตรี
เอลล่า ฮันท์ แสดงดนตรีครั้งแรกตอนอายุ 10 ปี และเธอก็ยังอยู่กับเสียงดนตรีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงภาพยนตร์เพลงเรื่อง Anna and the Apocalypse มาจนถึง Dickinson ทั้งสามซีซั่น และล่าสุดก็ได้ปล่อยอัลบั้ม EP ของตัวเองอัลบั้มแรกช่วงปลายปี 2021 ที่ได้อิทธิพลหลักมาจาก Joni Mitchell และ Anohni จาก Antony & The Johnsons เธอบอกกับ square mile ว่า “การแต่งเพลงเป็นเซฟสเปซของฉัน และเป็นที่ของฉันในการทำงานผ่านสิ่งต่างๆ ที่ฉันต้องเจอมาโดยตลอดในฐานะนักแสดงตอนเป็นวัยรุ่น”
“ฉันจริงจังกับดนตรีพอๆ กับงานแสดง” เอลล่า ฮันท์ บอกกับ Rose and Ivy Journal “ก่อนที่ฉันจะย้ายไปนิวยอร์ก ฉันมีแนวความคิดว่าฉันจะทำตามแบบของเอมิลี่ ดิกคินสัน ซึ่งฉันไม่ได้บอกใครเลย” เธอยังบอกต่อด้วยว่า “ดนตรีทำให้ฉันรู้สึกสบายใจว่ามันเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ฉันจะเก็บให้ห่างจากคนอื่น ฉันยังได้รับคำแนะนำจากเอเจนท์หลายๆ คนและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหลายประเภทในช่วงวัยรุ่นตอนกลางของฉันด้วยว่าการทำงานดนตรีและการแสดงไม่ใช่หนทานที่จะไปได้ มันเป็นเรื่องงี่เง่านะที่ฉันโดนบอกแบบนั้นเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น พอฉันย้ายไปนิวยอร์ก ฉันรู้สึกได้รับพลังอย่างเต็มที่จากการอยู่ที่นี่ และโดยชุมชุนของศิลปินที่ฉันได้อยู่ใกล้ๆ และได้อยู่รอบๆ พวกเขา และตระหนักว่าฉันต้องการที่จะทำดนตรีกับมืออาชีพ” ซึ่ง Thomas Vartlett แฟนของเธอ ทำให้เธอได้พบกับชุมชนนักดนตรีและทำให้รู้สึกปลอดภัย ซึ่งเขาเองก็เป็นศิลปินจากวง The Gloaming ด้วยเช่นกัน (และโธมัสก็ทำให้เธอกลายเป็น cat person และรับ Alfie กับ Simon มาเลี้ยงด้วย)
Triptych EP
ในการทำอัลบั้ม Triptych ของเธอ เธอด้วยว่า “ฉันคิดว่า เราทุกคนต่างมีวันที่ดีแล้วก็วันที่แย่ ตอนแรกที่ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกังวลเกี่ยวกับโลกใบนี้ ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงกับโทรศัพท์เพื่ออ่านข่าวและเลื่อนดูโซเชียล พอผ่านไปสองสามสัปดาห์ นั่นนานสำหรับพวกเราทุกคน ฉันผ่านช่วงเวลาที่ค่อนข้างหดหู่มา แล้วก็ใช้เวลาไปกับงานศิลปะแล้วก็การแต่งเพลงจริงๆ ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันในห้องนอนของตัวเองเพื่อเขียนบทกวีและเพลง ฉันอัดเพลงซ้ำๆ ซึ่ง 8 แทร็ก เพื่อทำลูปเสียง ไม่ก็แฟนของฉันส่งทำนองเปียโนที่เขาเขียนในนิวยอร์กมาให้ แล้วฉันก็เขียนทับมันลงไป ฉันใช้เวลาหลายต่อหลายชั่วโมงในการเขียนเพลงเพื่อพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของฉันที่เกี่ยวกับการสูญเสียและความวิตกกังวล”
Holding On
Moral High Ground
Bugs To Kill
ผลงานถัดไปของเอลล่าคือภาพยนตร์เรื่อง ‘Lady Chatterley’s Lover’ ที่ร่วมแสดงกับ Emma Corrin, Faye Marsay และ Joely Richardson ที่สร้างจากนวนิยายของ D. H. Lawrence รอรับชมได้ทาง Netflix
Source:
- http://www.contentmode.com/ella-hunt/
- http://www.roseandivyjournal.com/stories/2020/11/20/ella-hunt
- https://coveteur.com/2018/11/29/actress-ella-hunt-first-fashion-memory/
- https://graziadaily.co.uk/celebrity/news/ella-hunt-cold-feet/
- https://squaremile.com/features/ella-hunt-interview-dickinson/
- https://wwd.com/eye/people/ella-hunt-anna-and-the-apocalypse-breakout-1202921607/
- https://www.advocate.com/television/2021/11/15/how-dickinsons-emily-and-sue-became-one-tvs-great-queer-romances
- https://www.digitalspy.com/tv/ustv/a38450891/dickinson-season-3-sue-ella-hunt-emisue/
- https://www.irishtimes.com/culture/music/thomas-bartlett-it-was-self-soothing-in-the-desolation-of-covid-1.4312822
- https://www.pinknews.co.uk/2021/11/06/dickinson-ella-hunt-queer/
- https://www.townandcountrymag.com/leisure/arts-and-culture/a35309354/dickinson-ella-hunt-sue-gilbert-interview/
- https://www.thewrap.com/dickinson-season-3-episode-9-sex-scene-hailee-steinfeld-ella-hunt-interview/
- https://www.tvinsider.com/1026142/dickinson-season-3-episode-9-hailee-steinfeld-emisue-taylor-swift-ivy/