ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าเราเป็นแฟนหนังสายดาร์ก ทั้งหนังผี สยองขวัญ ระทึกขวัญ ทั้งหนังไทยและต่างประเทศ ดูได้หมด และคิดว่าตัวเองเป็นคนจิตแข็งประมาณหนึ่ง ไม่ว่าหนังจะโหดอย่างไร คัลท์แค่ไหนก็ดูได้ เรื่องไหนที่คนเขาว่าตำนาน ใจไม่ถึงอย่าดูต่างๆ ก็ผ่านมาไม่น้อย อาจเพราะเราถือคติว่า สิ่งที่กำลังดูอยู่มันคือเรื่องสมมติ ไม่ใช่เรื่องจริง เลยทำให้ดูจบก็ไม่ได้รู้สึกอี๋แหวะหรือหดหู่อะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็ชอบมากจนต้องกลับไปดูซ้ำบ่อยๆ เช่น สวยลากไส้ มหาลัยสยองขวัญ ลองของ (ทุกภาค) จักรวาล The Conjuring ฯลฯ แต่ถึงจะมีจิตเข้มแข็งดั่งหินผา ก็ยังมีหนังบางเรื่องเหมือนกันที่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปเขย่าอารมณ์เราให้สั่นไหวได้ และพอดูจบก็บอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ ห่างกันสักพักเนอะ อย่าเพิ่งดูซ้ำเลย ยอมแล้ว
ในครั้งนี้เราจะขอยกหนังที่ไม่ขอกลับไปดูซ้ำมา 3 เรื่อง ที่ดูครั้งแรกครั้งเดียวแล้วขอพักก่อน มีเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูกัน
*สปอยล์เนื้อหาบางส่วน/มีการกล่าวถึงความรุนแรง เพศ ภายในบทความ*
1. A Prayer Before Dawn (บทสวดก่อนฟ้าสาง)
ภาพยนตร์เรื่อง A Prayer Before Dawn (บทสวดก่อนฟ้าสาง) จากค่าย A24 สร้างขึ้นมาจากหนังสือ A Prayer Before Dawn: My Nightmare in Thailand’s Prisons ที่เขียนขึ้นโดย Billy Moore นำแสดงโดย Joe Cole จาก Peaky Blinders เขียนบทโดย Jonathan Hirschbein, Nick Saltrese และกำกับโดย Jean-Stéphane Sauvaire ฉายครั้งแรกในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2017
เรื่องย่อ
เรื่องราวชีวิตของ บิลลี่ มอร์ ฝรั่งขี้ยาที่ต่อยมวยเถื่อนไปวันๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย วันหนึ่งโดนตำรวจจับและต้องถูกจองจำอยู่ในเรือนจำคลองเปรม ภายในนั้นเต็มไปด้วยนักโทษที่แออัดยัดเยียด ต้องทนอยู่กับความโกโรโกโสของคุก ต้องพบกับสภาพความเป็นอยู่และสังคมของคนคุกที่มีทั้งความโหดร้าย รุนแรง ป่าเถื่อน ดิบ เดน รวมไปถึงระบบเรือนจำของไทยที่จัดว่าแย่ขั้นสุด แต่ในสถานที่อันน่าเอน็จอนาถแบบนี้ก็ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง มีความรัก การปรับตัวเพื่ออยู่รอด การเอาดีทางมวยของบิลลี่เพื่อให้หลุดพ้นจากนรกขุมนี้ และปลายทางหลังได้รับอิสระภาพ
เหตุผลที่ (ยัง) ไม่ขอกลับไปดูซ้ำ
เรื่องย่อขอพอแค่นี้ เพราะขนาดพิมพ์ไปยังรู้สึกพะอืดพะอมวิงเวียนวิ้งๆ อยู่เลย เนื้อหาส่วนใหญ่ในเรื่องเป็นการลากเอาระบบเรือนจำของไทยออกมาแฉดีๆ นี่เอง ดังนั้นเราจะเห็นความเน่าเฟะของทั้งคนและระบบทั้งหมด ตอนดูอาจรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่จริงๆ แต่ที่น่ากลัวกว่าการมีอยู่จริง คือการที่ทั้งหมดนั้นมันมีอยู่จริงในประเทศที่เรากำลังอาศัยอยู่ และยังมีอยู่จริงจนถึงทุกวันนี้
สำหรับเรา เราไม่สามารถระบุได้เลยว่าฉากไหนตอนไหนของเรื่องที่ทำให้มันเป็นหนังที่ไม่ขอกลับไปดูซ้ำ แต่มันคือทั้งเรื่อง ทั้งฉากความรุนแรงต่างๆ ภาพรวมของเรื่อง มู้ด โทน ทุกอย่างมันหดหู่มากจริงๆ แล้วนักแสดงก็เก่งมาก (ทั้งนักแสดงต่างชาติและคนไทย นำโดย เก่ง ลายพราง ที่เคยติดคุกมาแล้วจริงๆ) ภาพมันเลยออกมาเรียลมากๆ จนเรารู้สึกกลัวไปหมด
ตัวอย่างฉากติดตา เช่น ช่วงแรกของเรื่องที่บิลลี่พยายามซ่อนยาเสพติดจากตำรวจซึ่งบุกเข้ามาด้วยการยัดเข้าไปในรูทวาร ตอนที่บิลลี่เข้าไปอยู่ในคุกวันแรกแล้วต้องเจอการข่มขู่ต่างๆ ทั้งจะถูกข่มขืน ต้องนอนเบียดเสียดจนแทบจะทับกันกับเพื่อนนักโทษในห้องแคบๆ ที่สกปรกและอับชื้น โดนทำร้ายร่างกายและรุมกระทืบ รวมไปถึงการข่มขืนน้องใหม่หน้าอ่อนที่เข้ามาพร้อมกันและวันรุ่งขึ้นคนคนนั้นก็ใช้เสื้อผูกคอตาย แต่ทั้งนักโทษและผู้คุมกลับไม่มีใครตกใจอะไรเลยราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ยังมีทั้งภาพการเป็นอยู่ในนั้น ความสกปรกต่างๆ ความอึดอัด กิจวัตรประจำวันของนักโทษ กิจกรรมหลังเข้าโรงนอน ฯลฯ
เป็นอันว่าใครคิดว่าตัวเองจิตแข็งพอจะลองไปดูก็ได้นะ แต่สำหรับเราดูทีเดียวเวียนหัวไปอีกสามวัน เพราะฉะนั้น ขอพักก่อน อย่าเพิ่งลองดีกลับไปดูอีกทีเร็วๆ นี้เลยจ้า
อ้อ! หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของบิลลี่ มอร์ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงๆ และเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวตอนที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุกคลองเปรมจริงๆ แถมในหนังเรื่องนี้ ตัวจริงจริงของบิลลี่ มอร์ ก็ยังออกมาเดินสวนกับตัวละครบิลลี่ด้วยนะ
สามารถรับชมเรื่องนี้ได้ทาง Netflix
2. The Treacherous (간신; 2 ทรราช โค่นบัลลังก์)
The Treacherous (간신; 2 ทรราช โค่นบัลลังก์) เป็นภาพยนตร์พีเรียดดราม่าจากค่าย Lotte Entertainment ที่ได้ Min Kyu-dong มาเป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบท ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายในปี 2015
เรื่องย่อ
เรื่องราวกษัตริย์บ้ากามแห่งโชซอน ช่วงที่ได้ชื่อว่าเป็นกลียุคในประวัติศาสตร์เกาหลีที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้ายอนซัน เรื่องมีอยู่ว่าขุนนาง 2 พ่อลูกได้นำเสื้อสตรีเปื้อนเลือดไปให้พระราชา โดยบอกว่านี่คือเสื้อของมารดาพระองค์ในวันที่ถูกสำเร็จโทษด้วยการดื่มยาพิษ เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่เหลือรอดจากการถูกทำลาย พอพระเจ้ายอนซันเห็นดังนั้นก็จัดการแก้แค้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นอย่างเหี้ยมโหดที่สุด คนไหนยังมีชีวิตอยู่ก็โดนฆ่าล้างโคตร คนไหนที่ตายไปแล้วก็ยังโดนขุดกระดูกออกมาทุบให้แหลกแล้วโรยให้หมูกิน ซ้ำฝ่าบาทยังเป็นพวกบ้าตัณหาและวิปริตขั้นสุด ลูกเมียใครไม่สน จับมาข่มขืนได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้มี 2 พ่อลูกคอยยุยงส่งเสริมเลียแข้งขาตลอด ทำให้พระราชายิ่งผิดเพี้ยนจนกู่ไม่กลับ
ต่อมาได้มีการเสนอให้พระราชาหาสตรีที่จะขึ้นมาเป็นพระมเหสี ด้วยความบ้ากามขั้นสุด พระราชาเลยสั่งให้คัดผู้หญิงทั่วทั้งโชซอนมาฝึกเป็นนางสนมในวัง (นึกถึงเทรนนี่ในค่ายเพลงเกาหลี) ต้องเรียนรู้ทั้งทฤษฎี ปฏิบัติ สัมภาษณ์ แล้วคัดเลือกเอาคนที่เหมาะสมถูกใจพระราชาที่สุด ซึ่งก็มีผู้หญิง 2 คนที่มาแรงที่สุด แต่ทั้ง 2 คนก็มีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นการขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกได้ว่ายอมเอาชีวิตและศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีเข้าแลก ขณะเดียวกันก็มีเส้นเรื่องความรักของนางหนึ่งในนี้กับลูกชายขุนนางซึ่งอยู่เบื้องหลังความวิปลาศของพระราชาด้วย ตอนจบลงเอยว่าไม่มีใครได้เป็นมเหสีเลยสักคน และจบลงแบบบ้าที่สุดจริงๆ
เหตุผลที่ (ยัง) ไม่ขอกลับไปดูซ้ำ
จริงๆ The Treacherous ก็ฉายตั้งแต่ปี 2015 แต่เราเพิ่งจะได้ดูเมื่อไม่นานมานี้นี้ เป็นหนังอีโรติกที่อาจเรียกหยาบๆ ได้ว่า โหดสัด! แต่ในความโหดนั้นก็มีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการถ่ายทอดทั้งตัวเนื้อหา ภาพ รวมไปถึงเสียงพากย์และดนตรีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประหนึ่งละครเวที ฉากเซ็กซ์ก็ถึงพริกถึงขิง ฉากนองเลือดก็โหดเหี้ยมเกินบรรยาย นักแสดงก็เล่นเก่งกันมากๆ พระเอกของเรา จูจีฮุน (องค์รัชทายาทในเรื่อง Kingdom) ก็เล่นได้บ้าพอๆ กับคิมคังวูที่แสดงเป็นพระเจ้ายอนซัน ทำเอาเราทั้งเกลียด ทั้งกลัว เพราะมีทั้งความบ้า ความวิปริต ความคลั่ง อดขนลุกทุกครั้งที่เห็นหน้าไม่ได้เลยทีเดียว
แม้ว่าความพะอืดพะอมที่มีต่อทั้งเรื่องนี้ไม่ได้มากเท่ากับเรื่องแรก อาจจะเพราะมีเส้นเรื่องและปมต่างๆ ให้คิดตามเยอะตามสไตล์หนังเกาหลี แต่ด้วยความบ้าคลั่งถึงขีดสุดเลยทำให้มีหลายฉากทีเดียวที่ชวนให้วิงเวียนจนทำให้มันเป็นหนังที่ไม่ขอกลับไปดูซ้ำ (ในเร็วๆ นี้)
ตัวอย่างฉากติดตาขอยกมาแค่ฉากเดียว เพราะถ้าว่ากันจริงๆ แล้วทุกฉากพีคหมด ฉากนี้คือตอนที่พระเจ้ายอนซันกวาดเอาสนมเทรนนี่ทั้งหลายที่เป็นลูกขุนนางกบฎมารวมกันที่ลานเชือดแล้วขู่ว่าจะฆ่าพวกนางซะ แต่ถ้าพวกนางยอมมายิงธนูด้วยก็จะไว้ชีวิต แล้วก็เรียกชื่อขึ้นมาทีละคน พอมาถึงพระราชาก็โอบซ้อนข้างหลัง บอกให้นางแค่ปล่อยลูกธนูก็พอ แต่พอมีจังหวะจะยิงก็ทหารลากนักโทษมายืนกลางเป้า พอดึงถุงที่คลุมหัวออกปรากฏว่าเป็นพ่อนางที่กำลังเหนี่ยวคันธนูอยู่นั่นเอง สรุปก็คือฝ่าบาทเรียกชื่อมารายคน แล้วบังคับให้ลูกสาวฆ่าพ่อ เมียฆ่าผัวตัวเองทีละคนๆ แล้วหัวเราะไปกับเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องดังระงม กระทั่งมีสนมนางหนึ่งปฏิเสธว่า คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่สามีตัวเอง สามีของนางคือฝ่าบาทเท่านั้น พระราชาถามว่าจะพิสูจน์อย่างไร เจ้าหล่อนก็ย่อตัวลงไปดึงกางเกงแล้วอมนกเขาให้ฝ่าบาทจนเสร็จสมต่อหน้าต่อตาขุนนางมากมายรวมไปถึงสามีตัวเองที่ร้องไห้วิงวอนด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่หลักประหารด้วย แต่ในท้ายที่สุด พระราชาก็เหนี่ยวคันธนูยิงเจาะกะโหลกสามีของนางอยู่ดี
เรื่องนี้ฉากเรทโหดมาก มีทั้งเซ็กซ์และความรุนแรงต่างๆ มากมาย ความโหดร้ายป่าเถื่อนและวิปริตขั้นสุดของพระเจ้ายอนซันจะทำให้ลืมความสยิวของฉากเซ็กซ์ไปได้เลยล่ะ
สามารถรับชมเรื่องนี้ได้ทาง LINE TV
3. 13 เกมสยอง (13 Beloved)
13 เกมสยอง (13 Beloved) ภาพยนตร์ระทึกขวัญจากสหมงคลฟิล์ม ที่กำกับโดย ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่มี เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ร่วมเขียนบท และได้กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือ น้อย วงพรู มานำแสดง
เรื่องย่อ
เรื่องราวของหนุ่มเซลล์แมนที่ชีวิตสมถุยถึงขีดสุด ทั้งโดนไล่ออก แฟนทิ้ง มีหนี้สิน รถโดนยึด แต่แล้วเหมือนสวรรค์เข้าข้างเมื่อเขาได้กลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เล่นเกม ซึ่งเริ่มต้นจากมีสายปริศนาโทรเข้ามาในมือถือของเขา กติกาของเกมนี้คือ จะต้องผ่านด่านให้ได้ครบทั้ง 13 ด่าน ในแต่ละด่านจะมียอดเงินสะสมเข้าบัญชีซึ่งสามารถเช็กได้ทันที ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่พอลองทำภารกิจแรกง่ายๆ คือการม้วนหนังสือพิมพ์ตบแมลงวันตาย ก็มีข้อความบอกว่ามีเงินเข้าบัญชีมาทันที เมื่อเล่นครบทั้ง 13 ด่านจะได้เงินสูงสุดถึง 100 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าหยุดเล่นกลางคัน เงินทั้งหมดจะถูกเรียกคืนและไม่ได้อะไรกลับไปเลย ถ้าให้ใครรู้ เกมจะโมฆะทันที และถ้าพยายามติดต่อกลับเบอร์นี้เกมก็จะจบลงด้วยเช่นกัน ซึ่งความโหดของเกมในแต่ละด่านก็ยากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงด่านสุดท้ายที่ยากที่สุดและวัดความเป็นคนมากที่สุด และผลของมันก็ช่างตลกร้ายเมื่อความเป็นคนของพ่อหนุ่มตกอับคนนี้ยังมีเหลืออยู่ทำให้เขาพบจุดจบที่ขำไม่ออก
เหตุผลที่ (ยัง) ไม่ขอกลับไปดูซ้ำ
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก คิดว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว เพราะการแสดงของพี่น้อยวงพรูช่างเทพและติดตาตรึงใจเหลือเกิน โดยหนัง ’13 เกมสยอง’ ดัดแปลงจากการ์ตูนสั้นเรื่อง “13th Quiz Show” ซึ่งอยู่ในหนังสือ ‘My Mania’ หรือ ‘รวมเรื่องสั้นจิตหลุด’ ของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ นักเขียนการ์ตูนชาวไทยที่เราชื่นชอบมากๆ เราก็เลยได้อ่านมาตั้งแต่เป็นฉบับการ์ตูนแล้ว แต่ตอนนั้นออกจะติดขำด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้สึกสยดสยองชวนอ้วกได้เศษเสี้ยวของที่พี่น้อยมาแสดงเลย
สำหรับเราเรื่องนี้ ฉากที่ทำให้ขอพักก่อนและยังติดอันดับเป็นหนังที่ไม่ขอกลับไปดูซ้ำก็เป็นด่านแต่ละด่านที่พี่น้อยต้องผ่านไปให้ได้นั่นแหละ เพราะทุกๆ ด่านจะยากขึ้นเรื่อยๆ ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ชวนอ้วกขึ้นเรื่อยๆ จะหยุดก็ไม่ได้เพราะเสียดายเงินที่ได้มาซึ่งมากพอจะให้หลุดจากภาระหนี้สินต่างๆ ไปได้ ทางเดียวคือต้องก้าวไปเรื่อยๆ จนถึงด่านสุดท้าย ซึ่งจากด่านแรกที่ให้ฆ่าแมลงวัน พอมาด่านที่ 2 ก็คือให้กินแมลงวันที่ตัวเองเพิ่งฆ่าเลยจ้า แต่ละด่านมันเล่นกับจิตใจของคนซึ่งตัวละครในเรื่องก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเลย ออกจะค่อนไปทางดีมากด้วยซ้ำ ทำให้เราทั้งรู้สึกสงสารและหดหู่ไปพร้อมกัน
ตัวอย่างฉากติดตา เช่น ด่านกินขี้หมาในตำนาน เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักหนังเรื่องนี้จากฉากนี้เลยแหละ พี่น้อยแสดงได้ดีมากจนจัดว่าเกินไป ผู้กำกับก็แสนขยี้ ทำเอาเราเผลอโก่งคอจะอ้วกตามไปด้วย ด่านช่วยเอาศพปู่ชิวขึ้นมาจากบ่อก็ทั้งขำ ทั้งสงสาร ทั้งน่ากลัว ศพปู่ชิวทำได้สมจริงมากจนสัมผัสได้ถึงความอืดยุ่ย ด่านช่วยยายตากผ้าแล้วมีเด็กแว๊นผ่านมาก็ใช่ย่อย หลอกให้คนดูตายใจว่าไม่มีอะไรนี่นา ที่ไหนได้เป็นการจัดฉากที่ตายที่โหดที่สุดฉากหนึ่งของเรื่อง และด่านสุดท้ายซึ่งเล่นกับความเป็นมนุษย์ที่สุด จำได้ว่าตอนดูจบเราสติลอยไปอยู่หลายวันเลย
เรื่องนี้ฉายไปตั้งแต่ พ.ศ. 2549 นู่นแน่ะ เลยไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้มีช่องทางไหนให้ดูได้อีก