ถ้าหากคุณกำลังมองหาเพลงใหม่ๆ จากศิลปินหน้าใหม่ ในช่วงเวลาแบบนี้ โดยเฉพาะใครที่อยากจะฟังเพลงโฟล์คเบาๆ ฟังเพลินๆ ก็ต้องห้ามพลาดกับ “Blush” อัลบั้มเดบิวต์ของ Maya Hawke นักแสดงจากซีรีส์ Stranger Things ของ Netflix ที่ปล่อยอัลบั้มแรกของตัวเองออกมาให้พวกเราได้ฟังกันในปี 2020 นั่นเอง
Blush อัลบั้มสตูดิโอเดบิวต์อัลบั้มแรกของมาย่า ที่มีทั้งหมด 12 เพลงด้วยกัน แต่ละเพลงก็เขียนและบันทึกเรื่องราวความรู้สึกต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง เธอบอกกับ BAZAAR.com ว่า “เพลงพวกนี้เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความรู้สึก เอาไว้ฟังเพลงนั่นแหละ แล้วก็เขียนขึ้นก่อนช่วงโคโรน่าจะแพร่ระบาด” เธอยังบอกเสริมด้วยว่า “ฉันคิดว่าทุกคนก็เปลี่ยนแปลงกันไปนั่นแหละ พอมาฟัง Blush มันก็เลยจรู้สึกดื่มด่ำแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ในตอนที่ฉันเขียนเพลงพวกนี้ออกมา ฉันหวังว่าผู้คนจะรู้สึกรีเลทไปกับมัน แล้วก็ให้ความรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ของพวกเขาด้วยเหมือนกัน”
Maya Hawke สำรวจตัวตนของเธอผ่านเนื้อเพลงในอัลบั้มนี้ที่เกี่ยวข้องกับความรัก การทำร้ายตัวเอง และการค้นหาตัวเอง ในท้ายที่สุด ซึ่งทั้ง 12 เพลงนั้น เธอก็ยังได้น้องสาวสองคนมาช่วยร้องเพลงให้ด้วยในบางเพลง เราจะเห็นได้ในเนื้อเพลงของแต่ละเพลง “บางสิ่งมันให้ความรู้สึกที่สำคัญมากๆ สำหรับฉัน และเพลงเหล่านี้มันก็สำคัญกับฉันเช่นกัน มันเกี่ยวกับแบบ ไม่ว่าคุณจะโตและผ่านประสบการณ์ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สุดท้ายแล้ว คุณก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี คุณยังเป็นคนเดิมที่คุณเคยเป็น เพราะงั้น มันก็เลยจำเป็นที่จะต้องมีการจดจำมันผ่านเส้นสายเรื่องราวของคุณเอง ฉันอยากที่จะให้มีเสียงของเด็กๆ อยู่ในเพลงด้วย เพื่อเตือนความจำที่ว่า ‘นี่อาจจะดูเหมือนเสียงของผู้หญิง แต่ชีวิตในวัยเด็กทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงกันผ่านเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด'”
มาย่ายังบอกด้วยว่า เนื้อเพลงบางท่อนในอัลบั้มนี้ ก็เขียนมันเป็นบทกวีตั้งแต่สมัยยังเด็ก “ฉันไม่ใช่นักดนตรีจริงๆ หรอกนะ ก่อนที่จะเริ่มทำอัลบั้มนี้น่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำมันด้วย มันเป็นอารมณ์แบบ คอลเลคชั่นเพลงเดี่ยวๆ ของมันซะมากกว่า”
“ฉันชอบการเล่าเรื่องนะ และอัลบั้มนี้ก็เป็นการรวบรวมเรื่องราวจากปีที่แล้วในชีวิตของฉัน และมันกลับกลายเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้ามากกว่า”
Blush จาก Maya Hawke
Generous Heart
สำหรับเพลงแรกอย่าง “Generous Heart” นั้น มาย่าบอกว่าเป็นเพลงที่เกิดขึ้นมาจากบทกวีเกี่ยวกับความรักที่เธอเขียนขึ้นมาตอนเป็นซีเนียร์ในไฮสคูล และนี่ก็เป็นเพลงที่เธอตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ปล่อยมันออกไป “เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ฉันเขียนออกมาได้ลื่นนะ เพราะว่ามันมีช่องที่ชัดเจนเอามากๆ ที่จะเน้นย้ำเรื่องราวอื่นๆ ที่ฉันอยากที่จะให้มีอยู่ในเพลง (นอกเหนือจากแกนหลัก) อย่างเสียงกีตาร์ ก็เป็นบทกวีของตัวเอง มันมีเรื่องราวของตัวเอง เป็นอารมณ์ที่ผสมผสาน ตัดต่อ และเคลื่อนไหวไปมาระหว่างคำต่างๆ และตอบสนองได้ดีราวกับการโทรผ่านโทรศัพท์นั่นเอง”
So Long
Be Myself
สำหรับเพลง Be Myself นั้น เธอบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เธอพยายามค้นหาตัวตน และหาว่าตัวเองต้องการที่จะเป็นคนแบบไหนกันแน่ “เอาจริง ฉันรู้สึกเหงาๆ นะ แบบฉันกำลังคุยกับคนโตๆ คนที่มีประสบการณ์ หรือไปงานปาร์ตี้อะไรพวกนี้ แต่ฉันมีประสบการณ์ที่แบบตัวเองออกจากร่างไป เหมือนฉันกำลังถูกกีดกัน แล้วก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ ภายนอกฉันก็เหมือนจะดูสนุกสนานนะ แล้วหลายๆ คนก็อาจจะเป็นกัน แต่คุณรู้ไหมว่าบางครั้ง เวลาบางคนดูเหมือนว่าจะกำลังมีช่วงเวลาที่ดี แต่จริงๆ แล้ว ภายในของพวกเขาก็อาจจะสั่นคลอนอยู่ก็ได้”
Animal Enough
“ตอนฉันเขียนเพลง ‘Animal Enough’ แล้วก็เพลงอื่นๆ ในอัลบั้ม มันก็มีความใกล้เคียงกันมากอยู่ด้วย แต่อันที่จริงแล้วมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไปในชีวิตของฉัน” มาย่าบอกเสริมต่อว่า “คุณรู้ไหมว่าการเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันมากๆ มันเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะรับเอาพลังของตัวเองมา มันเหมือนกับว่าเป็นการทำเพื่อตัวเอง พยายามเติบโตให้ดีขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้น แต่ไม่ละทิ้งส่วนต่างๆ ที่สำคัญของตัวเอง เพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้”
Coverage
มาย่าบอกกับ Atwood Magazine ว่า เพลง Coverage นั้นเป็นเพลงที่เหมือนกับว่าจะเป็นการสะท้อนภาพตัวเองและการหลอกลวง “มันมาจากเรื่องบ้าๆ บอๆ นะ ที่แบบ เหมือนกับว่าคุณเป็นนักแสดง แล้วก็เดทกับคนที่ไม่ใช่นักแสดง แล้วพอคุณถ่ายหนังโรแมนติกกับนักแสดงอีกคน มันมักจะแบบ ถ้าคุณแสร้งทำเป็นรักใครสักคนนานๆ คุณมักจะเริ่มรู้สึก มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทันทีที่หนังจบ มันก็จบ แต่คุณเริ่มรู้สึกบางอย่างกับคนๆ นั้น แล้วแบบตอนจูบหน้ากล้องหรือทำอย่างอื่น มันเหมือนกับแบบ คุณจูบกับคนนั้นจริงๆ” มาย่าเสริมต่อว่า “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปหรอก มันเหมือนแบบบางครั้งก็เป็นจูบปลอมๆ แต่ถ้าพวกเขาถ่ายใกล้ๆ ก็แสดงว่า คุณกำลังจูบคนนั้นจริงๆ แล้วคุณกำลังจินตนาการว่าการตกหลุมรักมันจะเป็นยังไงนะ มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนนะ แล้วถ้าเกิดคุณมีแฟน มันก็ยากที่จะอธิบายให้คู่ของคุณฟัง เพลงนี้มันก็เป็นแบบนั้นแหละ การพยายามอธิบายว่ามันเป็นยังไง ความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง การกระทำที่เสแสร้งว่ารักใครสักคนเหมือนกับคนที่ไม่เคยตกหลุมรักมาก่อนงี้”
“มันก็เหมือนกับการโกหกโดยทั่วไปแหละ การโกหกมันหมายความว่ายังไง และในฐานะนักแสดง คุณจะเชื่ออย่างเต็มที่ในบางสิ่งได้อย่างไรโดยที่จะไม่ปล่อยให้มันตามตัวเองทัน คุณจะสร้างโลกแห่งจินตนาการให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ และยึดมั่นกับโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างไร”
If I was really here looking at you beaming
If I was really alive, could I make it through every daydreaming?
Hold the Sun
River Like You
Bringing Me Down
Cricket
Menace
“ตอนที่ฉันเขียนเพลงนี้เสร็จ มันมีความหมายต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเลยนะ” มาย่าบอกว่าในตอนแรกเธอเขียนเพลงนี้ขึ้นมาประมาณว่า มันเป็นช่วงวัยที่เปลี่ยนแปลง จากวัยเด็ก สู้ช่วงชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น จากความสัมพันธ์หลักที่มีแค่พ่อกับแม่ จนกระทั่งความสัมพันธ์หลักในชีวิตก็คือเพื่อนและคนรัก ไม่ว่าคุณจะพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงไหม “ตอนที่ฉันเขียนเพลงนี้ขึ้นมา ฉันอยู่ในความสัมพันธ์กับใครบางคนที่รู้สึกว่าฉันไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ดีด้วย แต่พอมองย้อนกลับไปก็พบว่า พวกเขากำลังควบคุมอยู่นะ และนั่นก็เหมือนกับว่าเป็นการโน้มน้าวให้ฉันคิดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน”
Goodbye Rocketship
เพลง Goodbye Rocketship ถือว่าเป็นเพลงที่มีความหมายกับเธอมากๆ ซึ่งเพลงนี้อิงจากบทกวีที่มาย่าเขียนขึ้นมาเพื่อเอาตัวเองออกจากปัญหากับพ่อของเธอ (Ethan Hawke) ในสมัยยังเป็นวัยรุ่น แล้วก็อิงถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นหลักเลย “พ่อโกรธฉันมาก เพราะฉันโกหกเขาว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันก็เลยเขียนเพลงนี้ให้กับเขาน่ะ” เธออธิบายเพิ่ม “เนื้อเพลงเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมเลยก็คือ ‘you don’t know how to raise me anymore than I know how to grow up’. (คุณไม่รู้วิธีที่จะเลี้ยงดูฉัน มากกว่าที่ฉันจะเรียนรู้วิธีเติบโต) แล้วฉันก็ใช้เสียงของเด็ก เพื่อส่งสารออกไป” เธอเสริมต่อด้วยว่า “มันมีความต่อเนื่องในตัวของมันเองนะ ฉันเขียนเพลงนี้ตอนอายุ 14 และยังคงทำมันอยู่เรื่อยๆ และถึงแม้ว่าฉันจะเติบโตขึ้นมากกว่านี้ แต่ความรู้สึกพื้นฐานที่เป็นแก่นของเพลงนี้ ก็เหมือนกับฉันในวัย 14 ปี”
Mirth
Mirth เป็นเพลงที่มาย่าเขียนขึ้นมาเองและเล่นเองทั้งหมด เพลงนี้เป็นเพลงปิดท้ายและเป็นเพลงที่ส่งมอบความรู้สึกของเธอออกมาทั้งหมด มันเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับอนาคตและการมองโลกในแง่ดี
Sources:
- https://atwoodmagazine.com/myhw-maya-hawke-interview-2020-blush/
- https://beatroutemedia.com/cover_stories/maya-hawke-cover-story/
- https://i-d.vice.com/en_uk/article/pkyvnn/maya-hawke-music-interview-blush-debut-album
- https://theface.com/culture/maya-hawke-blush-stranger-things-mainstream-interview
- https://www.harpersbazaar.com/culture/art-books-music/a33656817/maya-hawke-interview-debut-album-blush/
- https://www.nme.com/features/tv-interviews/maya-hawke-interview-stranger-things-2634924
- https://www.npr.org/2020/09/05/909969081/in-her-debut-album-maya-hawke-explores-young-adulthood
- https://www.theguardian.com/film/2021/oct/31/maya-hawke-mainstream-interview-stranger-things
- https://www.vanityfair.com/hollywood/2020/08/maya-hawke-on-her-debut-album